วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

เนื้อเยื่อพืช-เนื้อเยื่อสัตว์


เนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อ (Tissue) ในทางชีววิทยา คือ กลุ่มของเซลล์ที่ทำหน้าที่ร่วมกันในสิ่งมีชีวิต
วิชาการศึกษาเนื้อเยื่อ เรียกว่า มิญชวิทยา (Histology) หรือ จุลกายวิภาคศาสตร์ (Microanatomy) หรือหากเป็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับโรคเรียกว่า จุลพยาธิวิทยา (histopathology)
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเนื้อเยื่อโดยทั่วไปคือ แท่งขี้ผึ้ง (wax block) , สีย้อมเนื้อเยื่อ (tissue stain) , กล้องจุลทรรศน์แบบแสง (optical microscope) ซึ่งต่อมามีการพัฒนาเป็นกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (electron microscopy) , immunofluorescence, และการตัดตรวจเนื้อเย็นแข็ง (frozen section) เป็นเทคนิคและความรู้ใหม่ที่เพิ่งกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้เราสามารถตรวจพยาธิสภาพ เพื่อการวินิจฉัยและพยากรณ์โรคได้

    เนื้อเยื่อพืช(Plant Cells and Tissues)

       แม้ว่าพืชดอก (angiosperm) จะเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีความหลากหลายของโครงสร้างและลักษณะทางสัณฐานวิทยาสูง แต่ลักษณะทางกายวิภาคในภาพรวมมักจะมีโครงสร้างพื้นฐาน หรือรูปแบบของการจัดระบบเนื้อเยื่อที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างและหน้าที่หลักของอวัยวะพืชในแต่ละส่วน อย่างไรก็ตามในความเหมือนของลักษณะทางกายวิภาคของพืชนั้น หากมีการศึกษาอย่างละเอียดก็จะพบความแปรปรวน (variation) ของลักษณะเซลล์ เนื้อเยื่อ รวมไปถึงรูปแบบของการจัดระเบียบของเนื้อเยื่อในรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในพืชแต่ละกลุ่มรูปแบบและลักษณะหรือการจัดจำแนกชนิดของเซลล์หรือระบบเนื้อเยื่อในพืช อาจดูเหมือนว่าจะมีความซับ-
ซ้อนน้อยกว่าในสัตว์ แต่หากพิจารณาถึงหน้าที่และรายละเอียดของโครงสร้างของเซลล์จะพบว่าเซลล์และเนื้อเยื่อพืชนั้นมีความซับซ้อน และรายละเอียดต่างๆ มากมาย เซลล์ชนิดเดียวกันในพืชต้นเดียวกัน หากอยู่กันคนละตำแหน่งหรือคนละอวัยวะ อาจจะมีรายละเอียดของโครงสร้างและออร์กาเนลล์ (organelle) ที่แตกต่างกันไป ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความแตกต่างของหน้าที่ของเซลล์ชนิดนั้นในแต่ละตำแหน่งของพืช ดังนั้นในการศึกษาเซลล์และเนื้อเยื่อพืช ตำแหน่งที่อยู่ของเซลล์และเนื้อเยื่อ จะเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จะเป็นข้อมูลที่บ่งบอกได้ว่าเซลล์หรือเนื้อเยื่อนั้นเป็นเซลล์หรือเนื้อเยื่อชนิดใดเนื้อเยื่อพืชอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามคุณสมบัติของการแบ่งเซลล์ ได้แก่ เนื้อเยื่อเจริญ(meristematic)tissue หรือ meristem) และเนื้อเยื่อถาวร (permanent tissue)
  1. เนื้อเยื่อเจริญ (meristematic tissue)
    เนื้อเยื่อเจริญประกอบด้วยเซลล์เจริญ (meristematic cell) ซึ่งเป็นเซลล์ที่คงคุณสมบัติของการแบ่งเซลล์แบบไมโตติก (mitotic cell division) เอาไว้ได้ตลอดชีวิต เนื้อเยื่อเจริญเป็นเนื้อเยื่อที่ทำให้พืชมีการเจริญเติบโตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตราบเท่าที่พืชยังมีชีวิต ดังนั้นเราจึงสังเกตเห็นได้ว่าลำต้นพืชรวมทั้งราก สามารถเจริญเติบโต ยืดยาว หรือแผ่กิ่งก้านหรือสาขาออกไปได้เรื่อยๆ หรือมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้นเมื่อพืชมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พบในสัตว์ที่การเจริญเติบโตมักจะหยุดหรือสิ้นสุดลงเมื่อสัตว์มีอายุถึงในระดับหนึ่ง เนื้อเยื่อเจริญอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem) และเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง(lateral meristem) หรือเนื้อเยื่อเจริญทุติยภูมิ (secondary meristem) หรืออาจเรียกสั้นๆ ว่า แคม
เบียม (cambium)
      1.1 เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem)
   เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายที่พบตามปลายยอดของลำต้นหรือกิ่งก้านเรียก เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด (apicalshoot meristem) แต่ถ้าพบที่ปลายรากจะเรียก เนื้อเยื่อเจริญปลายราก (apical root meristem) ทั้งเนื้อเยื่อเจริญปลายยอดและปลายราก จะสร้างเนื้อเยื่อเจริญอีกชุดหนึ่งที่เรียกว่า เนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ (primary meristem) ขึ้นมา ซึ่งเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิยังแบ่งได้ออก 3 กลุ่ม คือ โพรโตเดิร์ม (protoderm) โพรแคมเบียม(procambium) และ กราวด์เมอริสเต็ม (ground meristem) ซึ่งเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิทั้ง 3 กลุ่มนี้จะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรชนิดต่างๆ การเจริญเติบโตของอวัยวะหรือส่วนต่างๆ ของพืชที่มาจากการทำงานของเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย หรือ เนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ เรียกว่า การเจริญเติบโตปฐมภูมิ (primarygrowth) ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของพืชมีความสูง หรือความยาวเพิ่มมากขึ้น
      1.2 เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (lateral meristem)
ในขณะที่เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายนั้น จะเกิดขึ้นมาตั้งแต่พืชอยู่ในระยะเอ็มบริโอ (embryo) เนื้อเยื่อเจริญด้านข้างจะเป็นเนื้อเยื่อเจริญที่เกิดหรือพัฒนาขึ้นมาภายหลัง และไม่ได้พบในพืชทุกชนิด เนื้อเยื่อเจริญด้านข้างแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ แคมเบียมท่อลำเลียง (vascular cambium) และ คอร์กแคมเบียม (cork cambium) การ
เจริญเติบโตของลำต้น หรือราก ที่มาจากการทำงานหรือการแบ่งเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง เรียก การเจริญเติบโตทุติยภูมิ (secondary growth) ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตที่ทำให้ลำต้น หรือรากของพืชมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
หรือเส้นรอบวงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเจริญเติบโตทุติยภูมินั้นจะพบได้เฉพาะในพืชที่มีการสร้างเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง พืชที่ไม่มีการสร้างเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง จะไม่มีการเจริญเติบโตทุติยภูมิ
ภาพเนื้อเยื่อพืชต่างๆ
   เนื้อเยื่อเจริญ
 
   เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายราก
    เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ
   เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด

  2. เนื้อเยื่อถาวร (permanent tissue)
เนื้อเยื่อพืชกลุ่มที่สอง คือ เนื้อเยื่อถาวร (permanent tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่เมื่อเซลล์พัฒนาไปเต็มที่แล้ว โดยปกติจะไม่มีเกิดการแบ่งเซลล์ต่อไปอีก เนื้อเยื่อถาวรมีหลายชนิด แต่ละ (differentiation) มาจากเนื้อเยื่อเจริญ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ หรือเนื้อเยื่อเจริญทุติยภูมิก็ตาม

     
            เนื้อเยื่อถาวร                     เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว
เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน

   อาจแบ่งเนื้อเยื่อถาวรออกไปเป็น 7 กลุ่มคือ
       2.1 เนื้อเยื่อผิว (epidermis)
    เนื้อเยื่อผิวเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่รอบนอกสุด ทำหน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่อยู่ภายใน โดยปกติประกอบด้วยเซลล์ผิว (epidermal cell) ที่เรียงตัวหนึ่งแถวหรือหนึ่งชั้น แต่ในพืชบางชนิดอาจพบเนื้อเยื่อชั้นนี้มีมากกว่าหนึ่งชั้นนอกจากนั้นยังอาจพบเซลล์คุม (guard cell) เซลล์ข้างเซลล์คุม (subsidiary cell) และขน(trichomes) ระหว่างเซลล์คุมหนึ่งคู่จะมีช่องเล็กๆ เรียกว่า รูปากใบ (stomal pore) ซึ่งเป็นบริเวณหรือตำแหน่งที่เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างอากาศภายนอกกับพืช โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) นอกจากนั้นปากใบยังเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการคายน้ำ(transpiration) ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญต่อการลำเลียงน้ำและธาตุอาหารของพืชอีกด้วย ด้านนอกผนังเซลล์ของเซลล์ผิวจะมีสารคิวติน (cutin) เคลือบอยู่เห็นเป็นชั้นเรียก คิวติเคิล (cuticle) ซึ่งจะช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำของพืชออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก นอกจากนี้ยังอาจพบสารอื่นๆ เช่น ซิลิกา (silica) สะสมร่วมอยู่ด้วย เซลล์ในเนื้อเยื่อผิวเหล่านี้เปลี่ยนสภาพมาจากเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิกลุ่มโพรโตเดิร์ม
  เนิ้อเยื่อผิว

       2.2 เนื้อเยื่อพาเรนไคมา (Parenchyma)
    เป็นเนื้อเยื่อที่พบได้ทั่วไปในเกือบทุกส่วนของพืช มักจะพบช่องว่างระหว่างเซลล์ (intercellularspace) ปรากฏอยู่ภายในเนื้อเยื่อเสมอ เนื้อเยื่อพาเรนไคมาประกอบด้วยเซลล์พาเรนไคมา (parenchyma cell)ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีชีวิต มีแวคิวโอล (vacuole) ขนาดใหญ่ โดยทั่วไปมีผนังเซลล์ปฐมภูมิ (primary cell wall) ที่บางและมีความหนาของผนังเซลล์สม่ำเสมอทั่วทั้งเซลล์ มีรูปร่างของเซลล์แตกต่างกันไปได้หลายแบบ โดยปกติจะมีรูปร่างค่อนข้างกลมหรือเป็นรูปหลายเหลี่ยม อาจพบที่มีลักษณะรูปร่างของเซลล์คล้ายดาว เซลล์พาเรนไคมาเป็นเซลล์ที่มีกิจกรรมหรือกระบวนการต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพืชเกิดขึ้นมากมาย เช่น การสังเคราะห์และสะสมสารต่างๆ โดยเฉพาะกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงที่เกิดขึ้นในเซลล์พาเรนไคมาในใบพืช เซลล์พาเรนไคมานั้นจัดเป็นเซลล์ที่มีความซับซ้อนของโครงสร้างและผนังเซลล์น้อย ในการเจริญเติบโตของพืชเซลล์ชนิดอื่นๆ ที่พบในเนื้อเยื่อส่วนต่างๆนั้นก็มักจะเปลี่ยนสภาพ (differentiation) มาจากเซลล์พาเรนไคมานั่นเอง
ภาพเนื้อเยื่อพาเรนไค

         

       
       2.3 เนื้อเยื่อคอลเลนไคมา (collenchyma)
    เป็นเนื้อเยื่อที่ให้ความแข็งแรงแก่ส่วนที่ยังอ่อนของพืช โดยปกติไม่พบในราก แต่มักพบในลำต้นก้านใบและแผ่นใบ มักพบอยู่เป็นกลุ่มหรือเป็นมัดถัดเข้ามาจากชั้นเนื้อเยื่อผิว ประกอบด้วยเซลล์คอลเลนไคมา(collenchyma cell) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีลักษณะคล้ายกับเซลล์พาเรนไคมา กล่าวคือมีชีวิต แต่ primary cellwall ของเซลล์คอลเลนไคมานั้นมีความหนาบางไม่สม่ำเสมอทั่วทั้งเซลล์ เช่น หนาตามมุมของเซลล์มากกว่าบริเวณอื่นๆเซลล์คอลเลนไคมาสามารถยืดตัวได้เมื่อพืชมีการเจริญเติบโตปฐมภูมิ หรือขยายขนาด
ภาพเนื้อเยื่อคอลเลนไคมา
        
       2.4 เนื้อเยื่อสเคลอเรนไคมา(sclerenchyma)
    เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงแก่ส่วนต่างๆ ของพืช ประกอบด้วยเซลล์สองชนิดคือ เซลล์ไฟเบอร์ (fiber) และสเคลอรีด (sclereid) เซลล์ทั้งสองชนิดเมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีชีวิต มักพบเกิดขึ้นในบริเวณหรืออวัยวะของพืชที่ไม่มีการเจริญเติบโตปฐมภูมิอีกต่อไป เนื่องจากเซลล์ทั้งสองชนิดนี้ไม่สามารถยืดตัวได้ มีการสะสมผนังเซลล์ทุติยภูมิ (secondary cell wall) ซึ่งมีสารประกอบพวกลิกนิน (lignin) เป็นองค์ประกอบสำคัญ และทำให้ลักษณะโครงสร้างของเซลล์มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น ลักษณะโดยทั่วไปของเซลล์ทั้งสองชนิดจะแตกต่างกัน คือเซลล์ไฟเบอร์มักมีรูปร่างเซลล์ผอม ยาว ในผนังเซลล์ทุติยภูมิมีรอยเว้าไม่มีขอบ (simple pit) จำนวนน้อย โดยปกติมักพบเพียงหนึ่งหรือสองแนวเท่านั้น ส่วนสเคลรีดนั้นมีรูปร่างแตกต่างกันไปมากมาย แต่มักจะไม่เรียวยาวเหมือนเซลล์ไฟเบอร์ และพบรอยเว้าไม่มีขอบจำนวนมากและเป็น รอยเว้าไม่มีขอบที่มักแตกแขนงหรือแยกสาขาด้วย รอยเว้า(pit) คือ รอยบางที่เกิดขึ้นบนผนังเซลล์ทุติยภูมิ เนื่องจากเป็นบริเวณที่ไม่มีการสะสมสารพวกลิกนินนอกจากนั้นถึงแม้ว่าเซลล์ทั้งสองชนิดจะทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงกับส่วนต่างๆ ของพืช แต่เซลล์ไฟเบอร์จะมีความยืดหยุ่นที่ดีกว่า ทำให้มักพบเซลล์ไฟเบอร์ในอวัยวะหรือส่วนของพืชที่ต้องการความแข็งแรงและความยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน เช่น ลำต้น หรือก้านใบ แต่ตำแหน่งที่พบสเคอลรีดมักจะพบในบริเวณที่ไม่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น ผลหรือ เมล็ด
ภาพเนื้อเยื่อสเคลอเรนไคมา

        

       2.5 เนื้อเยื่อลำเลียง(vascular tissue)
    เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำและอาหาร แบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำ(xylem) และเนื้อเยื่อลำเลียงอาหาร (phloem) เนื้อเยื่อลำเลียงมีจุดกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อเจริญสองชนิดที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงของการเจริญเติบโต ถ้าเป็นเนื้อเยื่อลำเลียงที่เกิดขึ้นในระยะการเจริญเติบโตปฐมภูมิเรียกว่า เนื้อเยื่อลำเลียงปฐมภูมิ (primary vascular tissue) ซึ่งเจริญมาจากโพรแคมเบียม และแบ่งออกเป็นเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำปฐมภูมิ (primary xylem) กับเนื้อเยื่อลำเลียงอาหารปฐมภูมิ (primary phloem) ส่วนเนื้อเยื่อลำเลียงที่เจริญมาจากแคมเบียมท่อลำเลียงในการเจริญเติบโตทุติยภูมิเรียกว่า เนื้อเยื่อลำเลียงทุติยภูมิ (secondaryvascular tissue) ซึ่งแบ่งได้เป็นเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำทุติยภูมิ (secondary xylem) และเนื้อเยื่อลำเลียงอาหารทุติยภูมิ (secondary phloem) เช่นกัน
ภาพเนื้อเยื่อลำเลียง
     

     2.5.1 เนื้อเยื่อลำเลียงน้ำ(xylem)
    เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุจากรากไปยังส่วนต่างๆ ของพืช ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิด ที่พบเสมอได้แก่เซลล์พาเรนไคมา เซลล์ไฟเบอร์ และเซลล์ลำเลียงน้ำ (tracheary element)สองชนิด คือ เซลล์เวสเซล (vessel member) และ เทรคีด (tracheid) เซลล์ทั้งสองชนิดเมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีชีวิต และโพรโทพลาสต์ (protoplast) ภายในจะสลายไป รวมทั้งมีการสะสมผนังเซลล์ทุติยภูมิก่อนที่เซลล์จะตาย
       ลักษณะของเซลล์เวสเซล และเทรคีดนั้นแตกต่างกัน โดยเทรคีดเป็นเซลล์ที่มีลักษณะค่อนข้างผอมยาว หัวท้ายเซลล์สอบ และไม่พบแผ่นมีรู (perforation plate) ที่หัวท้ายของเซลล์ การลำเลียงน้ำในเทรคีด จะเกิดผ่านส่วนที่เป็นรอยเว้าซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีการสะสมผนังเซลล์ทุติยภูมิ ทำให้เกิดการ
ลำเลียงได้ง่ายกว่า ส่วนเซลล์เวสเซลมักจะมีลักษณะรูปร่างของเซลล์ที่ค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับความยาว และมีแผ่นมีรูที่หัวท้ายของเซลล์ การลำเลียงน้ำในเวสเซลล์จะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องผ่านแผ่นมีรูที่หัวท้ายของเซลล์ที่ต่อกันนี้
นอกจากนั้นในเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำอาจพบเซลล์พาเรนไคมาหรือกลุ่มของเซลล์ไฟเบอร์แทรกร่วมอยู่ด้วย
       


     2.5.2 เนื้อเยื่อลำเลียงอาหาร(xylem)
   เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงไปยังส่วนต่างๆ ของพืช ในพืชดอกประกอบด้วยเซลล์ท่อลำเลียงอาหาร (sieve tube member) เซลล์ประกบ(companion cell) นอกจากนั้นยังอาจพบเซลล์พาเรนไคมาและเซลลืไฟเบอร์แทรกรวมอยู่ในเนื้อเยื่อลำเลียงอาหารได้เช่นเดียวกันกับในเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำเซลล์ท่อลำเลียงอาหารเป็นเซลล์หลักที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงอาหาร ลักษณะเซลล์ค่อนข้างกว้าง หัวท้ายของเซลล์มักจะมีลักษณะตัดตรงหรือเอียงเล็กน้อยและมีแผ่นตะแกรง (sieve plate) อาจมีบริเวณตะแกรง (sieve area) ขนาดเล็กตามผิวด้านข้างของเซลล์ เมื่อเซลล์เจริญเต็มที่นิวเคลียส (nucleus) ไรโบโซม(ribosome) และแวคิวโอล (vacuole) จะสลายไป แต่เซลล์ยังคงมีชีวิต โดยการทำงานของเซลล์จะถูกควบคุมด้วยนิวเคลียสของเซลล์ประกบ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดเล็กกว่าและอยู่ติดกับเซลล์ท่อลำเลียงอาหารเสมอ โดยจะมีช่องทางติดต่อกับเซลล์ท่อลำเลียงอาหารผ่านทางพลาสโมเดสมา (plasmodesma) ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
      

       เนื้อเยื่อสัตว์ (animal tissue)
ในร่างกายของสัตว์ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ชั้นต่ำลงไปเช่นแมลง ต่างประกอบด้วยเนื้อเยื่อพื้นฐาน 4 ประเภท เนื้อเยื่อเหล่านี้รวมตัวกันเป็นโครงสร้างและอวัยวะต่างๆ กัน
      เนื้อเยื่อสัตว์ (animal tissue) จำแนกออกเป็น ในทางชีววิทยาและตัจวิทยา เนื้อเยื่อบุผิว (epithelium) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบไปด้วยชั้นของเซลล์ ซึ่งในมนุษย์ถือว่าเป็นหนึ่งในสี่เนื้อเยื่อพื้นฐานของร่างกาย เนื้อเยื่อบุผิวพบได้ทั้งภายนอกร่างกาย (เช่น ผิวหนัง) และบุภายในช่องว่างของร่างกาย ชั้นนอกสุดของผิวหนังประกอบด้วยเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวประเภทสแตรทิฟายด์ สความัสที่ตายแล้ว เช่นเดียวกับที่พบในเยื่อเมือก (mucous membranes) ที่บุภายในช่องปากหรือช่องว่างในลำตัว เนื้อเยื่อบุผิวอื่นๆ เช่น ที่พบภายในปอด ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ และสืบพันธุ์ รวมทั้งในต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อ
หน้าที่ของเนื้อเยื่อบุผิวคือการหลั่งสาร การดูดซึมสาร การปกป้องจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ช่วยในการขนส่งสารระหว่างเซลล์ การรับความรู้สึก และการคัดเลือกสารผ่านเข้ามาในร่างกาย เนื้อเยื่อบุโพรง (endothelium) ก็เป็นเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวที่มีลักษณะพิเศษ


   1.1 เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่บุผิวนอกร่างกาย หรือเป็นผิวของอวัยวะ หรือบุช่องว่างภายในร่างกาย โดยเนื้อเยื่อบุผิวจะเรียวตัวอยู่บนเยื่อรองรับฐาน (basement membrane) และผนังด้านบนของเยื่อบุผิว ไม่ติดต่อกับเนื้อเยื่ออื่นๆ ไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง ได้รับสารอาหาร แก๊สต่างๆ จาก

การแพร่
     เยื่อบุผิวเมื่อจำแนกตามรูปร่างและการจัดระเบียบของเซลล์ ได้ดังนี้

          1) เยื่อบุผิวเรียงตัวชั้นเดียว (simple epithelium) ประกอบด้วยเซลล์รูปร่าง 3 แบบ คือ เซลล์รูปร่างแบนบาง (simple spuamous epithelium) เช่น เยื่อบุข้างแก้ม หรือเวลล์รูปเหลี่ยมลูกบาศก์ (dimplr vunoifsl rpiyhrlium) เช่น พบที่ท่อของหลอดไต ทำน้ำดี และเซลล์ทรงสูง (simple columnar epithelium) เช่น พบที่ผการแบ่งประเภทของเนื้อเยื่อบุผิว

การแบ่งประเภทของเนื้อเยื่อบุผิวอาศัยหลัก 3 ประการ
  • รูปร่างลักษณะของเซลล์
  • จำนวนชั้นของเซลล์
  • การเปลี่ยนแปลงของเยื่อหุ้มเซลล์ชั้นบนสุด
          รูปร่างลักษณะของเซลล์
  • สความัส (Squamous) เซลล์มีรูปร่างแบน ถ้าเซลล์เรียงตัวชั้นเดียวเรียกว่า ซิมเปิล สความัส (Simple squamous) พบที่ถุงลมในปอด เซลล์บุผิวหลอดเลือด ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแพร่ผ่านของสาร นอกจากนั้นยังพบเซลล์แบบสความัสนี้ในไต และช่องว่างส่วนใหญ่ในลำตัว เซลล์เหล่านี้ไม่ค่อยมีกระบวนการเมตาบอลิซึมมากนัก ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ของน้ำ สารละลาย และสารอื่นๆ
  • คิวบอยดัล (Cuboidal) เซลล์มีลักษณะเหลี่ยมคล้ายลูกบาศก์ ความสูงเท่าๆ กับความกว้าง นิวเคลียสมักอยู่บริเวณกลางเซลล์
  • คอลัมนาร์ (Columnar) เซลล์มีความสูงมากกว่าความกว้าง เซลล์ที่เรียงตัวชั้นเดียวเรียกว่า ซิมเปิล คอลัมนาร์ (Simple columnar) นิวเคลียสมักอยู่ใกล้กับฐานเซลล์ พบบุผิวที่ลำไส้เล็ก และพบเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นต่อมหลั่งสารเรียกว่า เซลล์กอบเลท (Goblet cell) อยู่กระจายทั่วไปในชั้นของเนื้อเยื่อนี้เพื่อทำหน้าที่หลั่งเมือก ด้านบนของเซลล์อาจพบส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายเส้นขนขนาดเล็กเรียกว่า ไมโครวิลไล (Microvilli) ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มพื้นที่การดูดซึม
  • เนื้อเยื่อบุผิวชนิดแปรเปลี่ยน (Transitional) เป็นเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวลักษณะพิเศษพบบุในอวัยวะที่สามารถยืดหดได้ เช่น ยูโรทีเลียม (Urothelium) ที่บุอยู่ในกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เซลล์ดังกล่าวสามารถเลื่อนไถลซึ่งกันและกันได้ขึ้นกับว่าอวัยวะนั้นกำลังยืดหรือหด ถ้ามีการยืดจะทำให้เห็นเนื้อเยื่อผิวบริเวณนั้นบางลง ในทางกลับกันถ้าเกิดการหดจะเห็นเนื้อเยื่อนี้หนาขึ้น
          จำนวนชั้นของเซลล์
  • เดี่ยว หรือ ซิมเปิล (Simple) ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวชั้นเดียว
  • เป็นชั้นๆ หรือ สแตรทิฟายด์ (Stratified) ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวหลายชั้น มีเซลล์ชั้นล่างสุดชั้นเดียวที่ติดอยู่กับเบซัล ลามินา (basal lamina) การจำแนกประเภทให้อาศัยสังเกตรูปร่างลักษณะเซลล์ที่อยู่ด้านบน เนื้อเยื่อนี้สามารถทนต่อแรงดึงหรือกดได้มากกว่า
  • เป็นชั้นๆ เทียม หรือ ซูโดสแตรทิฟายด์ และซีเลีย (Pseudostratified with cilia) มักเป็น ซูโดสแตรทิฟายด์ คอลัมนาร์ (pseudostratified columnar epithelium) ลักษณะเซลล์เรียงตัวเป็นชั้นเดียว แต่ตำแหน่งของนิวเคลียสซ้อนกันจนมองดูเหมือนกับว่าเซลล์มีหลายชั้น การระบุชนิดเซลล์นี้สามารถสังเกตได้ว่ามีซีเลีย (เซลล์ที่เป็นซูโดสแตรทิฟายด์อาจจะมีซีเลีย แต่เซลล์ที่เป็นสแตรทิฟายด์จะไม่มีซีเลีย) เซลล์ที่มีขนจะแข็งแรงกว่าเซลล์ปกติประมาณ 10 เท่า
   การเปลี่ยนแปลงของเยื่อหุ้มเซลล์ชั้นบนสุด
  • คีราตินไนซด์ (Keratinized) เซลล์จะมีคีราติน (โปรตีนโครงเซลล์ (cytoskeleton)) เซลล์เนื้อเยื่อบุผิวที่เกิดคีราตินไนซด์พบที่ผิวหนัง ปาก และจมูก ช่วยให้ผิวหนังเหนียว สาก และทำให้สารแพร่ผ่านเข้าไม่ได้

      ซีเลียเอต (Ciliated) เยื่อหุ้มเซลล์ที่ด้านบนของเซลล์จะมีส่วนยื่นประกอบด้วยไมโครทิวบูล (microtubule) ที่สามารถเคลื่อนพัดโบกเป็นจังหวะเพื่อพัดพาเมือกและสารอื่นๆ ในท่อ มักจะพบซีเลียได้ในระบบหายใจและเซลล์บุผิวท่อนำไข่ (oviduct) บริเวณเชื่อมติดกันของเซลล์ (Cell junction)

บริเวณเชื่อมติดกันของเซลล์ (Cell Junction) เป็นโครงสร้างภายในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตหมายเซลล์ มักพบมากในบริเวณเนื้อเยื่อบุผิว ประกอบด้วยโปรตีนที่ซับซ้อนและช่วยในการยึดติดกันระหว่างเซลล์ที่อยู่ใกล้เคียงกัน ระหว่างเซลล์และเมตริกซ์ภายนอกเซลล์ (extracellular matrix) หรือเป็นโครงสร้างขวางกั้นระหว่างเซลล์ทางด้านข้าง (paracellular barrier) และควบคุมการขนส่งระหว่างเซลล์ทางด้านข้าง

    เนื้อเยื่อบุผิวที่คัดหลั่งสาร

การหลั่งสารเป็นหน้าที่หลักอันหนึ่งของเซลล์เนื้อเยื่อบุผิว ต่อมเกิดจากการหวำของเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวและต่อมาได้เจริญเติบโตภายใต้เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ต่อมแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ ต่อมไร้ท่อ (endocrine glands) และ ต่อมมีท่อ (exocrine glands) ต่อมไร้ท่อเป็นต่อมที่หลั่งสารออกมายังผิวโดยตรงโดยไม่ผ่านท่อ ต่อมที่เป็นต่อมไร้ท่อจัดอยู่ในระบบต่อมไร้ท่อ

นังลำไส้เล็ก ทำนำไข่

           2) เยื่อบุผิวเรียงตัวหลายชั้น (stratified epithelium) เป็นเนื้อเยื่อบุผิวที่ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวหลายชั้น ได้แก่
   1. Stratified squamous epithelium เป็นเนื้อเยื่อบุผิวที่ประกอบด้วยเซลล์ รูปร่างหลายเหลี่ยม แบนบาง เรียงกันหลายชั้น เช่น พบที่ผิวหนัง
   2. Stratified cuboidal epithelium ประกอบด้วย เซลล์รูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ เรียงตัวหลายชั้น เช่น พบที่ต่อมเหงื่อ
   3. Stratified columnar epithelium ประกอบด้วย เซลล์รูปทรงกระบอกสูง ตั้งอยู่บนเยื่อบุผิวอื่นๆ เช่น พบที่บางบริเวณของเยื่อบุคอหอย
           3) เยื่อบุผิวเรียงตัวหลายชั้นเทียม (pseudostratified epithelium) เป็นเนื้อเยื่อบุผิว ที่ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวเพียงชั้นเดียวบนเยื่อฐานรองรับ แต่ระดับความสูงของเซลล์ต่างๆ ไม่เท่ากัน ทำให้เห็นเหมือนกับว่า เซลล์ซ้อนกันหลายชั้น พบที่ผนังหลอดลม
           4) เนื้อเยื่อบุผิวเรียงตัวซ้อนกันหลายชั้นแบบยืดหยุ่น (transitional epithelium) เป็นเนื้อเยื่อบุผิว ที่ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวของเซลล์หลายชั้น โดยที่เซลล์สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ระหว่างเป็นแบบ squamous กับ cuboidal cell ขึ้นอยู่กับสภาพของอวัยวะ เช่น พบที่ผนังชั้นในของกระเพาะปัสสวะ
   1.2 เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิด แต่ละชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันไป เซลล์อยู่กันอย่างหลวมๆ แต่มีเส้นใยมาประสานกันทำให้เกิดความแข็งแรงยิ่งขึ้น เช่น เนื้อเยื่อไขมัน

          เนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั่วไป (Connective tissue proper)
         เนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั่วไป (Connective tissue proper)
     เนื้อเยื่อเกี่ยวพันพิเศษ (Specialized connective tissues)
    เนื้อเยื่อเกี่ยวพันพิเศษ (Specialized connective tissues)


   1.3 เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (muscular tissue)

เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ เป็นเนื้อเยื่อของร่างกายชนิดหนึ่งที่สามารถหดตัวได้ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทุกชนิดของร่างกาย เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อประกอบด้วยกลุ่มเซลล์กล้ามเนื้อที่มีลักษณะเรียวยาว จึงเรียกเซลล์กล้ามเนื้อว่า เส้นใยกล้ามเนื้อ (muscle fibers) แบ่งเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อเป็น 3 ประเภท คือ
       1. กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth muscle) เซลล์แต่ละเซลล์ของกล้ามเนื้อเรียบมีรูปร่างตรงกลางป่อง หัวท้ายเรียวแหลมคล้ายรูปกระสวย (fusiform shape) มีนิวเคลียสรูปรีอันเดียวอยู่กลางเซลล์ เมื่อมองดูจากกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา จะไม่พบลายในกล้ามเนื้อเรียบ
รูปแสดงลักษณะเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ
ที่มา Frederich H. Martini. Edwin F. Bartholomew. Essentials of anatomy and physiology. U.S.A., Prentice-Hall , Inc. 1997.
          กล้ามเนื้อเรียบพบได้ที่ผนังของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ผนังลำไส้ ผนังของหลอดเลือด ท่อและต่อมต่าง ๆ และหลอดลม เป็นต้น กล้ามเนื้อจะหดตัวได้เองมีระบบประสาทอัตโนมัติ ควบคุมจังหวะและความแรง อยู่นอกอำนาจจิตใจ บางครั้งเรียกว่า involuntary muscle
        2. กล้ามเนื้อลาย (Striated หรือ skeletal muscle) ประกอบด้วยเซลล์กล้ามเนื้อ มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกขนาดยาว บางเซลล์อาจยาวถึง 30 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 - 100 ไมครอน มีนิวเคลียสหลายอันและอยู่ชิดขอบเซลล์ มองจากกล้องจุลทรรศน์ธรรมดาจะเห็นเป็นแถบลายสีจางสลับเข้มจึงเรียกว่ากล้ามเนื้อลาย บางครั้งเรียกว่ากล้ามเนื้อโครงกระดูก (skeletal muscle) เนื่องจากกล้ามเนื้อชนิดนี้เกาะยึดกระดูกเป็นส่วนใหญ่ พบได้ที่ร่างกายทั่วไป การทำงานนี้อยู่ภายในอำนาจจิตใจ บางครั้งเรียกว่า voluntary muscle
รูปแสดงลักษณะของเซลล์กล้ามเนื้อลาย
ที่มา Frederich H. Martini. Edwin F. Bartholomew. Essentials of anatomy and physiology. U.S.A., Prentice-Hall , Inc. 1997.
        3. กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac muscle)
รูปแสดงลักษณะของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ
ที่มา Frederich H. Martini. Edwin F. Bartholomew. Essentials of anatomy and physiology. U.S.A., Prentice-Hall , Inc. 1997.
        เป็นกล้ามเนื้อลายที่เปลี่ยนแปลงไป พบได้ที่หัวใจแห่งเดียว เซลล์แต่ละเซลล์มีขนาดยาวประมาณ 85 - 100 ไมครอน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 ไมครอน รูปร่างลักษณะของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจคล้ายกับกล้ามเนื้อลาย คือ มีลายเช่นกัน แต่มีนิวเคลียสเพียง 1 - 2 อันอยู่กลางเซลล์ และมี intercalated disc ซึ่งเป็นผนังของเซลล์แต่ละเซลล์ที่อยู่ชิดกัน มองเห็นเป็นแถบตามขวางคล้ายขั้นบันได การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจอยู่ภายนอกอำนาจจิตใจเหมือนกับกล้ามเนื้อเรียบ


   1.4 เนื้อเยื่อประสาท (nervous tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับสิ่งเร้า การตอบสนองต่อสิ่งเร้า และควบคุมการทำงานของอวัยวะ เนื้อเยื่อประสาทประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ 2 ประเภท คือ เซลล์ประสาท (neuron หรือ nerve cell) และเซลล์ค้ำจุต (glial cell หรือ supporting cell) ซึ่งเป็นเซลล์ทำหน้าที่ช่วยเหลือการทำงานของเซลล์ประสาท เช่น เซลล์ชวานน์ (schwann cell))

รูปแสดงลักษณะเนื้อเยื่อประสาท

        เนื้อเยื่อประสาท กระจายอยู่ทั่วร่างกาย โดยเชื่อมโยงประสานกัน ประกอบด้วยตัวเซลล์เป็นหมื่นล้านตัว เนื้อเยื่อประสาทประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ เซลล์ประสาท (Nerve cells, neurons) และ เซลล์ค้ำจุน (Glia cells, neuroglia หรือ supporting cells)
            เซลล์ประสาท (Nerve cells) เป็นหน่วยเล็กสุดของระบบประสาทที่สามารถทำงานได้ ประกอบด้วย ตัวเซลล์ (cell body หรือ perikaryon) ซึ่งมีส่วนประกอบคล้ายเซลล์อื่น และมีส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวเซลล์ เรียกว่า process ซึ่งแบ่งออกเป็น เดนไดรต์ (dendrite) กับ แอกซอน (axon)
        เซลล์ค้ำจุน (Glia cells) เป็นเนื้อเยื่อประสาทชนิดหนึ่งที่มีจำนวนมากกว่าเซลล์ประสาทประมาณ 10 เท่า ทำหน้าที่เป็นเซลล์ค้ำจุนให้กับเซลล์ประสาท ควบคุมสิ่งแวดล้อมของเซลล์ประสาทสามารถเพิ่มจำนวนได้ เช่น เซลล์รูปดาว (Astrocyte) โอลิโกเดนโดรซัยต์ (Oligodendrocyte), ไมโครซัยม์ (Microcyte) และเซลล์อิเพนไดมา (Ependymal cell) ฯลฯ
เนื้อเยื่อประสาทต่างๆ
   

     
    

    



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น