วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ภาษาไทยวิบัติ

ภาษาไทยวิบัติ
ภาษาวัยรุ่นเป็นภาษาที่วิบัติมาจากการใช้ภาษาของกลุ่มวัยรุ่น  ไม่ว่าจะเป็นการสนทนา เขียนหนังสือ ส่งข้อความ สนทนาผ่านอินเตอร์เน็ท หรือที่เรียกกันว่าการ Chat โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คำบางคำสั้นลง หรือเพื่อเพิ่มเติม เสริมแต่งให้คำที่พวกเขาใช้กันดูมีความเก่ไก๋ ไฮโซ แนว ซึ่งภาษาเหล่านี้เกิดมาจากการตั้งขึ้นมาเองใหม่ หรือการผสมผสานคำเองระหว่างภาษาต่างๆ ฟังแล้วไม่มีความหมายในพจนานุกรม แต่รู้เรื่องกัน ไม่รู้คิดได้ไง
คิดว่าภาษาวัยรุ่นเป็นภาษาที่ไม่สิ้นสุด เพราะวัยรุ่นจะคิดคำแปลกๆใหม่ๆมาใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน จนบางครั้งผู้ฟังที่เพิ่งได้ยินอาจจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง เช่นคำว่า ฉัน"โต๊ะ"เธอ ก็หมายถึง ฉันรักเธอ นอกจากนั้นวัยรุ่นมักจะใช้ภาษาที่เป็นคำผวนมาพูดกัน เช่น" รูเยิ๊บ" หมายถึง "เลิฟยู" หรือฉันรักคุณนั่นเอง
ภาษาที่พูดแล้วมันไม่มีคำแปลน่ะ แต่ดันเข้าใจกันเอง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไอ้พวกนี้เกิดพ่อแม่กสอนภาษาไทยให้พูดกันรู้เรื่องดีดี ทำไมไม่ค่อยจำมาใช้กันนะ แหกคอกกันอยู่ได้ ถ้าไม่พูดอะไรที่มันแปลกๆ แล้วมันจะเข้าสังคมไม่ได้น่ะ
ก็ในหมู่เพื่อนๆของเราเนี่ย  เวลาเค้าจะด่ากันว่า  อีดอก  เค้าจะบอกว่า  อีทิวลิป  ชื่อดอกไม้ไง
เป็นภาษาที่ใช้แล้วสนุกเป็นกันเองในหมู่คณะแต่ก็ควรที่จะใช้ให้ถูกสถานที่ที่จะใช้

ภาษาวิบัติ หรือ ภาษาอุบัติ เป็นคำเรียกของการใช้ภาษาไทยที่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่ตรงกับกับภาษามาตรฐานตามหลักภาษาไทยในด้านการสะกดคำ คำว่า 'ภาษาวิบัติ' ใช้เรียกรวมถึงการเขียนที่สะกดผิดบ่อยรวมถึงการใช้คำศัพท์ใหม่หรือคำศัพท์ที่สะกดให้แปลกไปจากคำเดิม
ในประเทศไทยมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษารวมถึงปัญหาภาษาวิบัติทำให้เด็กไทย ไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรในขณะเดียวกันได้มีการใช้คำว่าภาษาอุบัติแทนที่ภาษาวิบัติที่มีความหมายในเชิงลบ โดยภาษาอุบัติหมายถึงภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตอบสนองวัฒนธรรมย่อย เช่นเดียวกับภาษาเฉพาะวงการที่เป็นศัพท์สแลง
คำว่า "วิบัติ" มาจากภาษาบาลี มีความหมายถึง พินาศฉิบหาย หรือความเคลื่อนทำให้เสียหาย
ลักษณะและตัวอย่าง
สะกดผิดได้ง่าย 
เป็นรูปแบบของคำที่มีการสะกดผิด ซึ่งเกิดจากคำที่มีการผันอักษรและเสียงไม่ตรงกับรูปวรรณยุกต์
·         สนุ๊กเกอร์ (สนุกเกอร์)
·         โน้ต (โน้ต)
คำที่สะกดผิดเพื่อให้แปลกตา 
·         นู๋ (หนู)
·         ชะมะ,ชิมิ (ใช่ไหม)
·         ว้าววว (ว้าว)
·         ป่าว (เปล่า)
การลดรูปคำ 
เป็นรูปแบบของคำที่ลดรูปให้สั้นลง มีใช้ในภาษาพูด
·         มหาลัย หรือ มหา'ลัย (มหาวิทยาลัย)
·         วิดวะ (วิศวกรรม)
คำที่สะกดผิดเพื่อให้ตรงกับเสียงอ่าน 
·         ใช่ไหม ใช่มั้ย
คำที่สะกดผิดเพื่อแสดงอารมณ์ 
·         ไม่ ม่าย
·         ใช่ ช่าย
·         ใคร คราย
·         อะไร อาราย
·         เป็นอะไร เปงราย
·         ทำไม ทามมาย
คำที่สะกดผิดเพื่อลดความหยาบของคำ 
หรืออาจใช้หลีกเลี่ยงการกรองคำหยาบของซอฟต์แวร์
·         กู กรู
·         ไอ้สัตว์ ไอ้สาด
ว่าด้วยเรื่องภาษาวิบัติ 'ภาษาวิบัติ'ทำให้พิมพ์เร็วขึ้นจริงหรือ
บางคนบอกว่า ภาษาวิบัติ ตัวอักษรน้อยกว่า พิมพ์เร็วกว่า
แต่ดูจากคนพูดนะ... (แอดเรามาตั้งนานแล้ว) (แทนว่า A แล้วกัน)
A - ซา หวาด เด ฆร่า ^o^
สาท - สวัสดียามค่ำ
A - ทามมายพวกเทอร์ม่ายช้ายพาสาวายสะรุ่นง่า >o<
สาท - ภาษาวัยรุ่น ?
A - แหม แหม ก้อแบบเน้งาย o.(^^o.)
สาท - บอร์ดนักเขียนเรียกว่าภาษาวิบัตินะ - -a
สาท - แล้วทำไมเธอใช้ภาษาวิบัติล่ะ ?
A - ก้อมานพิมเรว
สาท - ยังไงง่ะ - -"
A - ตัวสาโกดน้อยก่าเดิมอีก
สาท - อือเหรอ
A - ช่ายจร้า
สาท - สาเหตุอื่นมีอีกมั้ย
A - มานเปงพาสาวายสะรุ่นจ้าวฆร่าาา \(^o^)/
   เราว่านะ พิมพ์เร็วไม่เร็วยังไง ขึ้นอยู่กับตอนฝึกพิมพ์มากกว่า
ถ้าฝึกแบบวิบัติ ก็จะชินมือแบบวิบัติ
แต่ถ้าฝึกแบบถูกต้อง ก็จะชินมือแบบถูกต้อง
แล้วท่านล่ะ คิดว่ายังไง
จริงๆบางทีเราก็พิมพ์นะเวลาคุยกับเพื่อน เช่น
เคๆ = โอเค
เหน = เห็น
อาน = อัน
กุ = กู
ไม = ทำไม ? ( ไมเป็นวิบัติปล่าววะ -*- )
เช่นนี้เป็นต้น แต่ ฆร่า .. นี่พึ่งเคยเห็นอะ -*- ทำไปได้แฮะ จริงๆแค่คร่า ก็พอแล้วนะ มัน   จะฆ่ากันเลยเรอะ!!!
อ้อ แล้วก็
เจง = จริง
จิงๆ = จริง
คร่า = ค่ะ
ร้าก = รัก
คิดเถิง = คิดถึง
กี๊ดๆ กี๊ซๆ = กรี๊ดๆ
ทะไม = ทำไม
อะรัย = อะไร
หลอ = หรอ เหรอ
บั่บว่า = แบบว่า
สะตอ = ตอแหล
อยุ = อยู่
   ตัวอย่างการใช้ภาษาวัยรุ่นที่วุ่วายวิบัติ
"นี่...แกดูนังตู้พวกนั้นดิ แต่งตัวโครตเอ้าท์
ยิ่งตอนมองไกลๆนะ อัฟเฟรด ที่สุดไม่นึกเลยว่า
พวกตู้นะ จะสลัมบอมเบย์ได้ขนาดนี้
ทีในห้องเรียนละอิมเหลือเกิน
แต่พวกตู้บางคน ก็พยายามทำเนียนนะ แต่ดูยังไงยังไงก็ยังออนป้าอยู่ดี เฮ้อช่างเหอะ ดูอะไรที่มันสบายตาดีกว่า อุ๊ย...โปรเราเดินมาอ่ะ คนนี้อะ กิ๊บมากๆ ดูเซอร์ดี เราชอบสไตล์เด็กแนวอยู่แล้ว แกว่าเขาดูโอไหม" " อ้าวแล้วกิ๊กแกละ" "วันนี้โปร่งว่ะ เมื่อคืนไปเมามา ตอนนี้ยังป๊อกอยู่ที่บ้านเลย กิ๊กเรามันชอบทำตัวกิ๊กก็อกง่ะ ยิ่งช่วงหลังๆ ป๊อดๆอะไรก็ไม่รู้ วันๆเอาแต่อยู่บ้านดูบอล เขามีดีตรง Option แรง และก็แทรนดี้อยู่ตลอดเวลา บางที่ก็น่าเบื่อนะแก ฉันละก็อยากเหนี่ยวสักทีจริงๆ พูดถึงแล้วน่าโมโหจริงๆเฮ้อ...."

         อะ...งงละซิ...เจอเข้าไปถึงกับอึ้งเลยไหมครับ คำพูดประโยคนี้ หลุดมาจากปากสาวน้อยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักพวกเธอ และก็อึ้งๆ ว่าพวกเธอกำลังคุยอะไรกัน เพื่อไม่ให้อาการอึ้งอยู่กับผมต่อนานไป ผมจึงรีบไปเซิร์สหาความหมายเหล่านั้นดู ก็สามารถถอดใจความได้ว่า

         "นี่...เธอดูพวกเด็กเรียนกลุ่มนั้นซิ แต่งตัวเชยมากๆ ยิ่งตอนมองไกลๆนะ ทุเรศมากๆ ไม่นึกเลยว่าพวกเด็กเรียนจะดูแย่ได้ขนาดนี้ ที่ในห้องเรียนละก็ impossible ((ทำเรื่องเรียนยากๆให้เป็นไปได้ง่ายๆ)) แต่พวกเด็กเรียนบางคน ก็พยายามทำตัวกลมกลืน แต่ดูอย่างไร ก็แสดงให้เห็นว่าแก่อยู่ดี ช่างเถอะ ดูอะไรที่มันสบายตาดีกว่า อุ๊ย..คนที่เราแอบชอบเดินมา คนนี้เจ๋งมากๆ ดูติดดินดี เราชอบสไตล์คนที่สวนกระแสอยู่แล้ว เธอว่าเขาโอเคไหม..." "อ้าวแฟนเธอละ" "วันนี้แฟนไม่มานะ เมื่อคืนเขาไปดื่มเหล้า ตอนนี้ยังหลับอยู่ที่บ้านเลย แฟนเราชอบทำตัวปัญญาอ่อนนะ ยิ่งช่วงหลังๆ กลัวๆอะไรก็ไม่รู้ วันๆเอาแต่อยู่บ้านดูบอล เขามีดีตรงแต่งตัวดูดี และก็เป็นคนทันสมัยอยู่ตลอดเวลา แต่บางทีก็ทำตัวน่าเบื่อนะเธอ ฉันอยากจะต่อยสักทีจริงๆ พูดถึงแล้วน่าโมโหเหลือเกินเฮ้อ....

         เป็นไงคะพอถอดข้อความออกมาแล้ว เข้าใจขึ้นอีกเยอะกันเลยทีเดียว ซึ่งเดียวนี้ เด็กรุ่นใหม่ ก็มีคำใหม่ๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง นักภาษาศาสตร์ มักจะบอกว่า พวกเขาเหล่านั้นทำให้ภาษาวิบัติ แต่ในความรู้สึกของฉันนั่น ฉันกลับคิดว่า มันก็เป็นเพียงภาษาของวัยรุ่น ที่เขาพยายามคิดขึ้นมา เพื่อให้ง่ายต่อการพูด และการสื่อสารในกลุ่มของพวกเขาเอง
         แต่พอเขาโตขึ้น เขาก็ต้องกลับมาเข้าสังคม ที่ใช้แต่ภาษาทางการ คงจะหาได้ยากเหลือเกินที่คนอายุ 30 ขึ้น ยังมาพูดคำว่าคิกขุ กิ้วก้าว อย่างกับตอนที่เขาอายุ 13 เวลามันจะทำให้เขาโตขึ้นและเข้าใจได้เอง ว่าภาษาที่กลุ่มพวกเขาสร้างนั้น มันก็แค่เป็นแฟชั่นและมันก็จะตายไปพร้อมกับกาลเวลา

         ฉันไม่กลัวเด็กๆ กลุ่มนี้ จะเอาภาษาเหล่านี้ไปใช้ ตอนโตหรอกค่ะ แต่ฉันกลัวสื่อมากกว่า กลัวว่าพวกเราเนี่ยแหละ จะทำให้มันคงอยู่และเติบโต ไปพร้อมๆ กับพวกเขา ทำให้ภาษาวิบัติ มันเป็นจริงขึ้นมาได้ อันนี้ก็ไม่อยากโทษพวกเด็กๆ นักหรอกค่ะ พวกเขาก็แค่อยากสนุกไป กับคำที่พวกเขาคิดขึ้นเอง ฉันก็ขอเพียงแต่ว่า น้องๆเหล่านั้น จะใช้คำเหล่านั้น ให้มันถูกกาละเทศะเท่านี้เอง ภาษาที่ดูเหมือนจะวิบัติมันก็จะเกิด และดับไปพร้อมๆ กับอายุที่มากขึ้น ของเด็กๆเหล่านั้น แต่การที่มันจะยังคงลอยชายต่อไปได้ หรือไม่นั้น ฉันว่า มันอยู่ที่สื่อเองมากกว่า ว่าจะนำมันมาใช้ในรูปแบบใด ถ้าแค่นำเสนอ ว่ามันเป็นแค่แฟชั่นชั่วคราว ก็แล้วไป แต่ถ้านำมาใช้ซะจนแพร่หลายอันนี้ก็ไม่ไหว

         ความวิบัติมันไม่ได้อยู่กับเด็กแล้ว มันอยู่ที่ผู้ใหญ่ ต่างหาก ก็ลองคิดกันดูนะค่ะ ว่าจะให้มันอยู่กับ คนกลุ่มเล็ก หรือว่าจะให้มันกระจาย ไปสู่ระดับชาติ
มันคงจะไม่ใช่เรื่อง น่าภูมิใจนัก หรอกค่ะ
ถ้าภาษาไทย ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ
ต้องมาสลายไป เพราะพวกเรา ไม่ช่วยกันดูแล

ฟุตบอล

ฟุตบอล(Football)
          ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่นมากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน
เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มีกติการการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431
วิวัฒนาการด้านฟุตบอล
จะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่นสงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ

        วิวัฒนาการของฟุตบอล
    ภาคตะวันออกไกล
ขงจื้อได้กล่าวไว้ในหนังสือ "กังฟู" เกี่ยวกับกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาที่ใช้เท้าและศีรษะในสมัยจักรพรรดิ  เซิงติ (Emperor Cneng Ti) (ปี 32 ก่อนคริสตกาล) มีการเล่นกีฬาที่คล้ายกับฟุตบอลซึ่งเรียกว่า"ซือ-ซู" (Tsu-Chu) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกหนังด้วยเท้า กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นได้ยกย่องผู้เล่นที่มีชื่อเสียงให้เป็นวีรบุรุษของชาติ และในสมัยเดียวกันได้มีการเล่นคล้ายฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

     ภาคตะวันออกกลาง
ในกรุงโรม ความเจริญของตะวันออกไกลได้แผ่ขยายถึงตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอิทธิพลของสงครามโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช การเล่นกีฬาชนิดหนึ่งเรียกว่า ฮาร์ปาสตัม เป็นกีฬาที่นิยมของชาวโรมันและชาวกรีกโบราณวิธีการเล่นคือ มีประตูคนละข้าง แล้วเตะลูกบอลไปยังจุดหมายที่ต้องการ เช่น จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง การเล่นจะเป็นการเตะ หรือการขว้างไปข้างหน้าฮาร์ปาสตัม หมายถึงการเหวี่ยงไปข้างหน้า การเล่นกีฬาฮาร์ปาสตัมในกรุงโรมดูเหมือนจะเป็นต้นกำเนิดของกีฬาซึ่งมีการเล่นในสมัยกลาง
ในการเล่นฮาร์ปาสตัม ขนาดของสนามจะเล็กกว่าสนามกีฬาซูเลอ แต่จุดประสงค์ของกีฬาทั้งสองคือ การนำลูกบอล ไปยังแดนของตน แต่เนื่องจากมีเสียงอึกทึกโครมครามจากการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า จึงมีพระบรมราชโองการในนามของพระเจ้าแผ่นดินห้ามเล่นกีฬาดังกล่าวในเมือง ผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงจำคุก นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามซึ่งออกในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.1892 ขอให้เล่นยิงธนูในวันฉลองต่าง ๆ แทนการเล่นเกมฟุตบอล
ในโอกาสต่อมากีฬาฟุตบอลได้จัดให้มีการแข่งขันกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทีมต่างๆ ที่อยู่ห่างกันประมาณ 3-4 ไมล์ ( 5-6.5 กิโลเมตร- )
ในปี พ.ศ. 2344 กีฬาชนิดนี้ได้ขัดเกลาให้ดีขึ้น มีการกำหนดจำนวนผู้เล่นให้เท่ากันในแต่ละข้าง ขนาดของสนามอยู่ในระหว่าง 80 - 100 หลา (73-91 เมตร) และมีประตูทั้งสองข้างที่ริมสุดของสนามซึ่งทำด้วยไม้ 2 อัน ห่างกัน 2-3 ฟุต
ในปี พ.ศ. 2366 ได้จัดให้มีการเล่นฟุตบอลในรูปแบบของการเล่นใน ปัจจุบัน William Alice คือผู้เริ่มวางกฎบังคับต่างๆ สำหรับกีฬาฟุตบอลและรักบี้ ในปี พ.ศ. 2393 ได้มีการออกระเบียบและกฎของการเล่นไปสู่ ดินแดนต่างๆ ให้ปฏิบัติตาม โดยจำกัดจำนวนผู้เล่นให้มีข้างละ 15-20 คน
ในปี พ.ศ. 2413 มีการกำหนดผู้เล่นให้เหลือข้างละ 11 คน โดยมีผู้เล่นกองหน้า 9 คน และผู้เล่นรักษาประตู 2 คน โดยผู้รักษาประตูใช้เท้าเล่นเหมือน 9 คนแรกจนกระทั่งให้เหลือผู้รักษาประตู 1 คน แต่อนุญาตให้ใช้มือจับลูกบอลได้ในปี พ.ศ. 2423
ในปี พ.ศ. 2400 สโมสรฟุตบอลได้ก่อตั้งเป็นครั้งแรกที่เมืองเซนพัสด์ประเทศอังกฤษ และต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2406 สโมสรฟุตบอล 11 แห่งได้มารวมกันที่กรุงลอนดอนเพื่อก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น ซึ่งถือเป็นรากฐานในการกำเนิดสมาคมแห่งชาติ จนถึง 140 สมาคม และทำให้ผู้เล่นฟุตบอลต้องเล่นตามกฎและกติกาขอสมาคมฟุตบอล จนเวลาผ่านไปจากคำว่าAssociation ก็ย่อเป็น Assoc และกลายเป็น Soccer ขึ้นในที่สุด ซึ่งนิยมเรียกกันในประเทศอังกฤษ แต่ชาวอเมริกันเรียกว่า Football หมายถึง American football
ภายนอกเกาะอังกฤษ พวกกะลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า วิศวกร หรือแม้แต่นักบวชได้นำกีฬาชนิดนี้ไปเผยแพร่ ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่ 2 ในยุโรป
ในอเมริกาใต้ สโมสรแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศอาร์เจนตินา เมื่อพี่น้องชาวอังกฤษ 2 คน ได้ลงข้อความโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของเมืองบูเอโนสไอเรส (Buenos Aires) เพื่อ หาผู้อาสาสมัคร ในปี พ.ศ. 2427 กีฬาฟุตบอลก็กลายมาเป็นวิชาหนึ่งในโรงเรียนของเมืองบูเอโนสไอเรส การแข่งขันระดับชาติครั้งแรกในทวีปอเมริกาใต้ คือ การแข่งขันระหว่างอาร์เจนตินากับอุรุกวัย ในปี พ.ศ.2448 แต่อเมริกาเหนือเริ่มแข่งขันเมื่อปี พ.ศ. 2435
ในอิตาลี ฮาร์ปาสตัมเป็นต้นกำเนิดจิโอโค เดล คาลซิโอ ผู้เล่นกีฬาจะเป็นผู้นำทางสังคมหรือแม้แต่ผู้นำชั้นสูงของศาสนา เช่นสันตปาปา เกลาเมนต์ที่ 7 ลีออนที่ 10 และเออร์เบนที่ 7เป็นถึงแชมเปี้ยนในกีฬาฟลอเรนไทน์ฟุตบอล ต่อมาชาวโรมันได้ดัดแปลงเกมการเล่นฮาร์ปาสตัมเสียใหม่ โดยกำหนดให้ใช้เท้าแตะลูกบอลเท่านั้น ส่วนมือให้ใช้เฉพาะการทุ่มลูกบอล ซึ่งนักรบชาวโรมัน นิยมเล่นกันมาก
กีฬาฮาร์ปาสตัมซึ่งมีต้นกำเนิดจากสมัยโรมันได้ถูกแปลงมาเป็นกีฬาซูลอหรือซูเลอ กีฬาชนิดนี้เหมือนกับฮาร์ปาสตัม คือ นำลูกบอลกลับไปยังแดนของตน แต่สนามมีขนาดกว้างกว่ามาก
การเล่นซูเลอมักจะมีขึ้นในบ่ายวันอาทิตย์หลังการสวดมนต์เย็น จะมีการแข่งขันสำคัญในช่วงเวลาดีคาร์นิวาลกีฬาชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในเขตปริตานีและมอร์ลังดี กีฬานี้ได้ถูกเผยแพร่ไปยังอังกฤษโดยผู้ติดตามของวิลเลี่ยมผู้พิชิตภายหลัง การรบที่เฮสติ้ง (Hasting)
เมื่อ 900 ปีกว่ามาแล้ว ประเทศอังกฤษได้ตกอยู่ในความปกครองของพวกเคนส์ เชื้อสายโรมัน ซึ่งยกกองทัพมาตีหมู่เกาะอังกฤษตอนใต้ และได้ปกครองเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 1589 อังกฤษเริ่มเข้มแข็งขึ้น และสามารถขับไล่พวกเคนส์ออกจากประเทศได้ หลังจากนั้น 2-3 ปี อังกฤษจึงเริ่มปรับปรุงประเทศเป็นการใหญ่มีการขุดอุโมงค์ตามพื้นที่หลายแห่ง ซึ่งในการขุดอุโมงค์คนงานคนหนึ่งได้ขุดไปพบกะโหลกศีรษะในบริเวณที่เคยเป็นสนามรบ และเป็นที่ฝังศพของพวกเคนส์มาก่อนทุกคนในที่นั้นแน่ใจว่าเป็นกะโหลกศีรษะของพวกเคนส์ อารมณ์แค้นจึงเกิดขึ้นทันทีเมื่อต่างคนต่างคิดถึงเหตุการณ์ที่ถูกพวกเคนส์กดขี่ทารุณจิตใจคนอังกฤษในสมัยนั้นด้วยเหตุผลนี้ คนงานคนหนึ่งจึงเตะกะโหลกศีรษะนั้นทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันหยุดงานชั่วคราว แล้วหันมาเตะกะโหลกศีรษะเป็นการใหญ่ เพื่อระบายอารมณ์แค้นที่เก็บไว้อย่างสนุกสนาน ผลที่สุดเมื่อพวกนี้หากะโหลกศีรษะเตะกันไม่ได้ก็เอาถุงลมของวัวมาทำเป็นลูกกลมขึ้นเตะแทนกะโหลกศีรษะ ปรากฏว่าเป็นที่รื่นเริงสนุกสนามกันมาก
ต่อมาชาวโรมันได้นำเกมนี้ไปเล่นในอังกฤษ จากนั้นชาวอังกฤษก็ได้ปรับปรุงวิธีการเล่นเทคนิคการเล่น ตลอดจนกติกาให้เหมือนในสมัยปัจจุบัน คือเกมฟุตบอลที่ใช้เท้าเล่นแต่ในระยะแรกของการเล่นฟุตบอลจะเล่นกันเป็นกลุ่มๆ เฉพาะพวกคนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีการจำกัดจำนวนผู้เล่น ประตูจะห่างกันเป็นไมล์ และใช้เวลาในการเล่นหลายชั่วโมง จะเป็นการเล่นระหว่างทหารใหม่ที่ถูกเกณฑ์ นักบวช คนที่แต่งงานแล้ว คนโสด และพวกพ่อค้า เกมชนิดได้กลายเป็นสิ่งฉลองในงานพิธีต่างๆ เช่น ในวันโชรพ ทิวส์เดย์ (Shrove Tuesday) จะมีฟุตบอลนัดสำคัญให้คนได้ชม เกมในสมัยนั้นจะเล่นกันอย่างรุนแรงและมีการบาดเจ็บกันมาก
ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 1857 พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 2 ได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกา เนื่องจากมีเสียงอึกทึกครึกโครมจาการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุมากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า โดยห้ามเล่นกีฬาดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก
ฟุตบอลได้เริ่มแข่งขันภายใต้กฎของสมาคมแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2412ระหว่างทีมรัตเกอร์กับทีมบรินท์ตัน จากนั้นกิจการฟุตบอลได้เจริญขึ้นช้าๆในต่างจังหวัดจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการตั้งสมาคมฟุตบอลต่างจังหวัดขึ้นในปี พ.ศ. 2450 และมีการฝึกสอนในปี พ.ศ. 2484
ในทวีปเอเชีย อินเดียเป็นประเทศแรกที่เริ่มเล่นฟุตบอล ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยกัลกัตตาเป็นผู้นำสำเนากฎหมายการเล่นมาเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2426 และในปี พ.ศ. 2435 ได้มีการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเป็นครั้งแรกในทวีปซึ่งยังไม่มีชื่อเสียงในด้านการเล่นฟุตบอล กีฬาชนิดนี้ก็ได้เริ่มมีการเล่นมาก่อนร่วมร้อยปีแล้ว เช่น สมาคมฟุตบอลแห่งนิวเซาท์เวลส์ ได้ถูกตั้งขึ้นในออสเตรเลีย ปี พ.ศ. 2425 และสมาคมฟุตบอลของนิวซีแลนด์ได้ถูกตั้งขึ้นหลังจากนั้น 9 ปี
ในแอฟริกา สมาคมระดับชาติแห่งแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ แต่อียิปต์เป็นประเทศแรกที่มีการแข่งขันระดับชาติในปี พ.ศ. 2467 คือ 3 ปี หลังจากที่ได้ก่อตั้งสมาคมขึ้น และอียิปต์สามารถเอาชนะฮังการีได้ 3-0 ในกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส
การแข่งขันระดับชาติเป็นการแข่งขันระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2415
และในปีแรกของศตวรรษที่ 20 โดยประเทศยุโรปอื่นๆ อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2447 กลุ่มประเทศต่างๆ ในแถบนี้ได้ประชุมกันที่ปารีสเพื่อตั้งสมาคมฟุตบอลนานาชาติขึ้น ในครั้งแรกก่อนการจัดตั้งสหพันธ์ 20 วัน สเปนและเดนมาร์กไม่เคยร่วมการแข่งขันระดับชาติมาก่อน และ 3 ประเทศใน 7 ประเทศที่เข้าร่วมประชุมยังไม่มีสมาคมฟุตบอลในชาติของตน แต่ฟีฟ่าก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยมา โดยมีสมาชิก 5 ชาติ ในปี พ.ศ. 2481 และ 73 ชาติ ในปี พ.ศ. 2493 และในปัจจุบันมีสมาชิกถึง 146 ประเทศ ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของฟีฟ่า ทำให้ฟีฟ่าเป็นองค์การกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สมาพันธ์ประจำทวีปของสมาคมฟุตบอลแห่งแรกที่ตั้งขึ้นคือ Conmebol ซึ่งเป็นสมาพันธ์ของอเมริกาใต้ สมาพันธ์นี้ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อจัดตั้งเพื่อจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศภายในทวีปอเมริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2460 เกือบครึ่งศตวรรษ ต่อมาเมื่การแข่งขันภายในทวีปได้แพร่หลายมากขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งสมาพันธ์ในทวีปอื่นๆ ขึ้นอีกคือสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งในทวีปเอเชีย และ 2 ปี ก่อนการจัดตั้งสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งแอฟริกา (Concacaf)หรือสหพันธ์ฟุตบอลแห่งอเมริกากลาง อเมริกาเหนือและแคริบเบี้ยน ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 และน้องใหม่ในวงการฟุตบอลโลกคือ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งโอเชียนเนีย (Oceannir)

          สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (Federation International Football Association FIFA) ก่อตั้งขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2447 โดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศฝรั่งเศส และประเทศที่เข้าร่วมก่อตั้ง 7 ประเทศคือ ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดนและสวิตเซอร์แลนด์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
สมาพันธ์ฟุตบอลที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
1. Africa (C.A.F.) เป็นเขตที่มีสมาชิกมากที่สุด ได้แก่ ประเทศแอลจีเรีย ตูนิเซีย แซร์ ไนจีเรีย และซูดาน เป็นต้น
2. America-North and Central Caribbean (Concacaf) ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก คิวบา เอติ เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และฮอนดูรัส เป็นต้น
3. South America (Conmebol) ได้แก่ ประเทศเปรู บราซิล อุรุกวัย โบลิเวีย อาร์เจนตินา ชิลี เวเนซุเอลา อีคิวเตอร์ และโคลัมเบีย เป็นต้น
4. Asia (A.F.C.)เป็นเขตที่มีสมาชิกรองจากแอฟริกา ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น
ฮ่องกง เลบานอน อิสราเอล อิหร่าน จอร์แดน และเนปาล เป็นต้น
5. Europe (U.E.F.A.) เป็นเขตที่มีการพัฒนามากที่สุด ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฮังการี อิตาลี สกอตแลนด์ รัสเซีย สวีเดน สเปน และเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
6. Oceannir เป็นเขตที่มีสมาชิกน้อยที่สุดและเพิ่งจะได้รับการแบ่งแยก ได้แก่ ประเทศออสเตรเลียนิวซีแลนด์ ฟิจิ และปาปัวนิวกินี เป็นต้น ซึ่งประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกต้องเสียค่าบำรุงเป็นรายปี ปีละ 300 ฟรังสวิสส์ หรือประมาณ 2,400 บาท

         สหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย

    ในทวีปเอเชียมีการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเอเชีย (A.F.C.) เพื่อดำเนินการด้านฟุตบอล ดังนี้
พ.ศ. 2495 มีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่
จากประเทศในเอเชียเข้ามาร่วมการแข่งขันด้วย จึงได้ปรึกษาหารือกันในการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลเอเชียขึ้น
พ.ศ. 2497 มีการแข่งขันเอเชียนเกมส์ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้เริ่มตั้งคณะกรรมการจากชาติต่างๆ ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก 12 ประเทศ
พ.ศ. 2501 มีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และมีประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิกรวมเป็น 35 ประเทศ
พ.ศ. 2509 ฟีฟ่าได้มองเห็นความสำคัญของ A.F.C. จึงได้กำหนดให้มีเลขานุการประจำในเอเชีย
โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด รวมทั้งเงินเดือน และคนแรกที่ได้รับตำแหน่งคือ Khow Eve Turk
พ.ศ. 2517 ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เตหะราน ประเทศอิหร่านได้มีการประชุมประเทศสมาชิก A.F.C.และที่ประชุมได้ลงมติขับไล่อิสราเอล ออกจากสมาชิก และให้จีนแดงเข้าเป็นสมาชิกแทน ทั้งๆ ที่จีนแดงไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่า นับว่าเป็นการสร้างเหตุการณ์ที่ประหลาดใจให้กับบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมากทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง
พ.ศ. 2519 มีการประชุมกันที่ประเทศมาเลเซีย ปรากฏว่าประเทศสมาชิกได้ลงมติให้ขับไล่ประเทศไต้หวันออกจากสมาชิก และให้รับจีนแดงเข้ามาเป็นสมาชิกแทน ทั้งๆ ที่ไต้หวันเป็นประเทศที่ร่วมกันก่อตั้งสหพันธ์ขึ้นมา

    งานของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย
1. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Asian Cup
2. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Asian Youth
3. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก
4. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Pre-Olympic
5. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม World Youth
6. ควบคุมการแข่งขัน Kings Cup, President Cup, Merdeka, Djakarta Cupนอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากฟีฟ่าจัดส่งวิทยากรมาช่วยดำเนินการ

     สรุปวิวัฒนาการของฟุตบอล
ก่อนคริสตกาล - อ้างถึงการเล่นเกมซึ่งเปรียบเสมือนต้นฉบับของกีฬาฟุตบอลที่เก่าแก่ที่ได้มีการค้นพบจากการเขียนภาษาญี่ปุ่น-จีน และในสมัยวรรณคดีของกรีกและโรมัน
ยุคกลาง - ประวัติบันทึกการเล่นในเกาะอังกฤษ อิตาลี และฝรั่งเศส
ปี พ.ศ. 1857 - พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 3 ทรงออกพระราชกฤษฎีกาห้ามเล่นฟุตบอลเพราะจะรบกวนการยิงธนู
ปี พ.ศ. 2104 - Richardo Custor อาจารย์สอนหนังสือชาวอังกฤษกล่าวถึงการเล่นว่า ควรกำหนดไว้ในบทเรียนของเยาวชน โดยได้รับอิทธิพลจาการเล่นกาลซิโอในเมืองฟลอเร้นท์
ปี พ.ศ. 2123 -Riovanni Party ได้จัดพิมพ์กติการการเล่นคาลซิโอ
ปี พ.ศ. 2223 -ฟุตบอลในประเทศอังกฤษได้รับพระบรมราชานุเคราะห์จากพระเจ้าชาร์ลที่ 2
ปี พ.ศ. 2391 -ได้มีการเขียนกฎข้อบังคับเคมบริดจ์ขึ้นเป็นครั้งแรก
ปี พ.ศ. 2406 -ได้มีการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น
ปี พ.ศ. 2426 -สมาคมฟุตบอลจักรภพ 4 แห่ง ยอมรับองค์กรควบคุม และจัดตั้งกรรมการระหว่างชาติ
ปี พ.ศ. 2429 -สมาคมฟุตบอลเริ่มทำการฝึกเจ้าหน้าที่ที่จัดการแข่งขัน
ปี พ.ศ. 2431 -เริ่มเปิดการแข่งขันฟุตบอลลีก โดยยินยอมให้มีนักฟุตบอลอาชีพและเพิ่มอำนาจการควบคุมให้ผู้ตัดสิน
ปี พ.ศ. 2432 -สมาคมฟุตบอลส่งทีมไปแข่งขันในต่างประเทศ เช่น เยอรมันไปเยือนอังกฤษ
ปี พ.ศ. 2447 - ก่อตั้งฟีฟ่า ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงปารีส เมื่อ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 โดยสมาคมแห่งชาติคือ ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์
ปี พ.ศ. 2480 - 2481 -ข้อบังคับปัจจุบันเขียนขึ้นตามระบบใหม่ขององค์กรควบคุมโดยใช้ข้อบังคับเก่ามาเป็นแนวทาง
       ประวัติฟุตบอลในประเทศไทย
     กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ได้มีการเล่นตั้งแต่สมัย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสิทร์ เนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการด้านต่างๆ ที่ประเทศอังกฤษ และผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลกลับมายังประเทศไทยเป็นคนแรกคือ"เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)" หรือ ที่ประชนชาวไทยมักเรียกชื่อสั้นๆว่า "ครูเทพ" ซึ่งท่านได้แต่งเพลงกราวกีฬาที่พร้อมไปด้วยเรื่องน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง เชื่อกันว่าเพลงกราวกีฬาที่ครูเทพแต่งไว้นี้จะต้องเป็น "เพลงอมตะ" และจะต้องคงอยู่คู่ฟ้าไทย

     เมื่อปี พ.ศ. 2454-2458 ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการครั้งแรก เมื่อท่านได้นำฟุตบอลเข้ามาเล่นในประเทศไทยได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆมากมาย โดยหลายคนกล่าวว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศร้อนเหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศหนาวมากกว่าและเป็นเกมที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้เล่นและผู้ชมได้ง่ายซึ่งข้อวิจารณ์ดังกล่าวถ้ามองอย่างผิวเผินอาจคล้อยตามได้ แต่ภายหลังข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ได้ค่อยหมดไปจนกระทั่งกลายเป็น กีฬายอดนิยมที่สุดของประชาชนชาวไทยและชาวโลกทั่วทุกมุมโลก ซึ่งมีวิวัฒนาการดังกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลต่อไปนี้

     พ.ศ. 2440 รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จนิวัติพระนคร กีฬาฟุตบอลได้รับความสนใจมากขึ้นจากบรรดาข้าราชการบรรดาครูอาจารย์ ตลอดจนชาวอังกฤษในประเทศไทยและผู้สนใจชาวไทยจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับกอร์ปกับครูเทพท่านได้เพียรพยายามปลูกฝังการเล่นฟุตบอลในโรงเรียนอย่างจริงจังและแพร่หลายมากในโอกาสต่อมา

     พ.ศ. 2443 (รศ. 119) การแข่งขันฟุตบอลเป็นทางการครั้งแรกของไทยได้เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 (รศ. 119) ณ สนามหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ออกกำลังกายและประกอบงานพิธีต่างๆการแข่งขันฟุตบอลคู่ประวัติศาสตร์ของไทย ระหว่าง "ชุดบางกอก" กับ "ชุดกรมศึกษาธิการ" จากกระทรวงธรรมการหรือเรียกชื่อการแข่งขันครั้งนี้ว่า"การแข่งขันฟุตบอลตามข้อบังคับของแอสโซซิเอชั่น" เพราะสมัยก่อนเรียกว่า "แอสโซซิเอชั่นฟุตบอล"
(ASSOCIATIONS FOOTBALL) สมัยปัจจุบันอาจเรียกได้ว่า "การแข่งขันฟุตบอลของสมาคม"หรือ "ฟุตบอลสมาคม" ผลการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษดังกล่าวปรากฏว่า "ชุดกรมศึกษาธิการ" เสมอกับ"ชุดบางกอก" 2-2 (ครึ่งแรก 1-0) ต่อมาครูเทพท่านได้วางแผนการจัดการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนอย่างเป็นทางการพร้อมแปลกติกาฟุตบอลแบบสากลมาใช้ในการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนครั้งนี้ด้วย

     พ.ศ. 2444 (รศ. 120) หนังสือวิทยาจารย์ เล่มที่ 1 ตอนที่ 7 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2444 ได้ตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องกติกาการแข่งขันฟุตบอลสากลและการแข่งขันอย่างเป็นแบบแผนสากล
     การแข่งขันฟุตบอลนักเรียนครั้งแรกของประเทศไทยได้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2444 นี้ ผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นนักเรียนชายอายุไม่เกิน 20 ปี ใช้วิธีจัดการแข่งขันแบบน็อกเอาต์ หรือแบบแพ้คัดออก (KNOCKOUT OR ELIMINATIONS) ภายใต้การดำเนินการจัดการแข่งขันของ "กรมศึกษาธิการ" สำหรับทีมชนะเลิศติดต่อกัน 3 ปี จะได้รับโล่รางวัลเป็นกรรมสิทธิ์

     พ.ศ. 2448 (รศ. 124) เดือนพฤศจิกายน สามัคยาจารย์ สมาคม ได้เกิดขึ้นครั้งแรกเป็นการแข่งขันฟุตบอลของบรรดาครูและสมาชิกครู โดยใช้ชื่อว่า "ฟุตบอลสามัคยาจารย์"

     พ.ศ. 2450-2452 (รศ. 126-128) ผู้ตัดสินฟุตบอลชาวอังชื่อ "มร.อี.เอส.สมิธ" อดีตนักฟุตบอลอาชีพได้มาทำการตัดสินในประเทศไทย เป็นเวลา 2 ปี ทำให้คนไทยโดยเฉพาะครู-อาจารย์ และผู้สนใจได้เรียนรู้กติกาและสิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาก

     พ.ศ. 2451 (รศ. 127) มีการจัดการแข่งขัน "เตะฟุตบอลไกล" ครั้งแรก

     พ.ศ. 2452 (รศ. 128) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสวรรคต เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2452 นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของผู้สนับสนุนฟุตบอลไทยในยุคนั้นซึ่งต่อมาในปีนี้ กรมศึกษาธิการก็ได้ประกาศใช้วิธีการแข่งขัน "แบบพบกันหมด" (ROUND ROBIN) แทนวิธีจัดการแข่งขันแบบแพ้คัดออกสำหรับคะแนนที่ใช้นับเป็นแบบของแคนาดา (CANADIAN SYSTEM) คือ ชนะ 2 คะแนน เสมอ 1คะแนน แพ้ 0 คะแนน และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
     ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงมีความสนพระทัยกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างยิ่งถึงกับทรงกีฬาฟุตบอลเอง และทรงตั้งทีมฟุตบอลส่วนพระองค์เองชื่อทีม "เสือป่า" และได้เสด็จพระราช ดำเนินประทับทอดพระเนตรการแข่งขันฟุตบอลเป็นพระราชกิจวัตรเสมอมาโดยเฉพาะมวยไทยพระองค์ทรงเคย ปลอมพระองค์เป็นสามัญชนขึ้นต่อยมวยไทยจนได้ฉายาว่า"พระเจ้าเสือป่า" พระองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถมาก จนเป็นที่ยกย่องของพสกนิกรทั่วไปจนตราบเท่าทุกวันนี้
     จากพระราชกิจวัตรของพระองค์รัชกาลที่ 6 ทางด้านฟุตบอลนับได้ว่าเป็นยุคทองของไทยอย่างแท้จริง
อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ข่าวสาร หนังสือพิมพ์ และบทความต่างๆทางด้านฟุตบอลดังกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลต่อไปนี้

     พ.ศ. 2457 (รศ. 133) พระยาโอวาทวรกิจ" (แหมผลพันชิน) หรือนามปากกา "ครูทอง" ได้เขียนบทความกีฬา"เรื่องจรรยาของผู้เล่นและผู้ดูฟุตบอล" และ "คุณพระวรเวทย์ พิสิฐ" (วรเวทย์ ศิวะศริยานนท์) ได้เขียนบทความกีฬา "เรื่องการเล่นฟุตบอล" และ "พระยาพาณิชศาสตร์วิธาน" (อู๋ พรรธนะแพทย์) ได้เขียนบทความกีฬาที่ประทับใจชาวไทยอย่างยิ่ง "เรื่องอย่าสำหรับนักเลงฟุตบอล"

     พ.ศ. 2458 (รศ. 134) ประชาชนชาวไทยสนใจกีฬาฟุตบอลอย่างกว้างขวาง เนื่องจาก กรมศึกษาธิการได้พัฒนาวิธีการเล่น วิธีจัดการแข่งขัน การตัดสิน กติกาฟุตบอลที่สากลยอมรับตลอดจนระเบียบการแข่งขันที่รัดกุมยิ่งขึ้น และผู้ใหญ่ในวงการให้ความสนใจอย่างแท้จริงนับตั้งแต่พระองค์รัชกาลที่ 6 เองลงมาถึงพระบรมวงศานุวงศ์จนถึงสามัญชน และชาวต่างชาติ และในปี พ.ศ. 2458 จึงได้มีการแข่งขันฟุตบอลประเภทสโมสรครั้งแรกเป็นการชิงถ้วยพระราชทานและเรียกชื่อการแข่งขันฟุตบอลประเภทนี้ว่า "การแข่งขันฟุตบอลถ้วยทองของหลวง" การแข่งขันฟุตบอลสโมสรนี้เป็นการแข่งขันระหว่างทหาร-ตำรวจ-เสือป่า ซึ่งผู้เล่นจะต้องมีอายุเกินกว่าระดับทีมนักเรียน นับว่าเป็นการเพิ่มประเภทการแข่งขันฟุตบอล
     ราชกรีฑาสโมสร หรือ สปอร์ตคลับ นับได้ว่าเป็นสโมสรแรกของไทยและเป็นศูนย์รวมของชาวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ซึ่งยังอยู่ในปัจจุบัน และสโมสรสปอร์ตคลับเป็นศูนย์กลางของกีฬาหลายประเภท โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลได้มีผู้เล่นระดับชาติจากประเทศอังกฤษมาเข้าร่วมทีมอยู่หลายคนเช่น มร.เอ.พี.โคลปี. อาจารย์โรงเรียนราชวิทยาลัย นับได้ว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดี มีความพร้อมมากทั้งทางด้านผู้เล่นงบประมาณและสนามแข่งขันมาตรฐาน จึงต้องเป็นเจ้าภาพให้ทีมต่างๆของไทยเรามาเยือนอยู่เสมอทำให้วงการฟุตบอลไทยในยุคนั้นได้พัฒนายิ่งขึ้น และรัชกาลที่ 6 ทรงสนพระทัยโดยเสด็จมาเป็นองค์ประธานพระราชทานรางวัลเป็นพระราชกิจวัตร ทำให้ประชาชนเรียกการแข่งขันสมัยนั้นว่า"ฟุตบอลหน้าพระที่นั่ง" และระหว่างพักครึ่งเวลามีการแสดง "พวกฟุตบอลตลกหลวง"นับเป็นพิธีชื่นชอบของปวงชนชาวไทยสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง และการแข่งขันฟุตบอลสโมสรครั้งแรกนี้ มีทีมสมัครเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 12 ทีม ใช้เวลาในการแข่งขัน 46 วัน (11 ก.ย.-27 ต.ค. 2458) จำนวน 29 แมตช์ ณ สนามเสือป่า ถนนหน้าพระลาน สวนดุสิต กรุงเทพมหานครหรือสนามหน้ากองอำนวนการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติปัจจุบันพระองค์รัชกาลที่ 6 ได้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการแข่งขันนับว่าฟุตบอลไทยมีระบบในการบริหารมานานนับถึง 72 ปีแล้ว
     ความเจริญก้าวหน้าของฟุตบอลภายในประเทศได้แผ่ขยายกว้างขวางทั่วประเทศไปสู่สโมสรกีฬา-ต่าง
จังหวัดหรือชนบทอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่นิยมกันทั่วไปภายใต้การสนับสนุนของรัชกาลที่ 6 และพระองค์ท่านทรงเล็งเห็นกาลไกลว่าควรที่ตะตั้งศูนย์กลางหรือสมาคมอย่างมีระบบแบบแผนที่ดีโดยมีคณะกรรมการบริหารสมาคมและทรงมีพระบรมราชโองการก่อตั้ง "สโมสรคณะฟุตบอลสยาม" ขึ้นมาโดยพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเล่นฟุตบอลเอง
     รัชกาลที่ 6 ได้ทรงมีวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามดังนี้คือ
           1. เพื่อให้ผู้เล่นฟุตบอลมีพลานามัยที่สมบูรณ์
           2. เพื่อก่อให้เกิดความสามัคคี
           3. เพื่อก่อให้เกิดไหวพริบและเป็นกีฬาที่ประหยัดดี
           4. เพื่อเป็นการศึกษากลยุทธ์ในการรุกและการรับเช่นเดียวกับกองทัพทหารหาญจากวัตถุประสงค์ดังกล่าว นับเป็นสิ่งที่ผลักดันให้สมาคมฟุตบอลแห่งสยามดำเนินกิจการเจริญก้าวหน้ามาจนตราบถึงทุกวันนี้ ซึ่งมีกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลดังนี้ พ.ศ. 2458 (ร.ศ. 134) การแข่งขันระหว่างชาติครั้งแรกของประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 ณ สนามราชกรีฑาสโมสร(สนามม้าปทุมวันปัจจุบัน) ระหว่าง "ทีมชาติสยาม" กับ "ทีมราชกรีฑาสโมสร" ต่อหน้าพระที่นั่ง และมี "มร.ดักลาส โรเบิร์ตสัน" เป็นผู้ตัดสิน ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่าทีมชาติสยามชนะทีมราชกรีฑาสโมสร 2-1 ประตู (ครึ่งแรก 0-0) และครั้งที่ 2 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2458เป็นการแข่งขันระหว่างชาตินัดที่ 2 แบบเหย้าเยือนต่า หน้าพระที่นั่ง ณ สนามเสือป่าสวนดุสิตและผลปรากฏว่า ทีมชาติสยามเสมอกับทีมราชกรีฑา สโมสร หรือทีมรวมต่างชาติ 1-1 ประตู (ครึ่งแรก 0-0)

  สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย(THE FOOTBALL ASSOCIATION OF THAILAND)
  มีวิวัฒนาการตามลำดับต่อไปนี้
     พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2459และตราข้อบังคับขึ้นใช้ในสนามฟุตบอลแห่งสยามด้วยซึ่งมีชื่อย่อว่า ส.ฟ.ท. และเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "THE FOOTBALL ASSOCIATION OF THAILANDUNDER THE PATRONAGE OF HIS MAJESTY THE KING" ใช้อักษรย่อว่า F.A.T.และสมาคมฯ จัดการแข่งขันถ้วยใหญ่และถ้วยน้อยเป็นครั้งแรกในปีนี้ด้วย
     พ.ศ. 2468 เป็นภาคีสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลระหว่างชาติ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พุทธศักราช 2468 ชุดฟุตบอลเสือป่าพรานหลวง ได้รับถ้วยของพระยาประสิทธิ์ศุภการ (เจ้าพระยารามราฆพ) ซึ่งเล่นกับชุดฟุตบอลกรมทหารรักษาวัง เมื่อพ.ศ. 2459-2460 ได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ โดยชนะ 2 ปีติดต่อกัน
     พ.ศ. 2499 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ ครั้งที่ 3 และเรียกว่าข้อบังคับ ลักษณะปกครอง
     พ.ศ. 2499 สมาคมฟุตบอลฯ ได้สิทธิ์ส่งทีมฟุตบอลชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขัน "กีฬาโอลิมปิก" ครั้งที่ 16 นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน เมื่อวันที่ 26พฤศจิกายน พุทธศักราช 2499 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
     พ.ศ. 2500 เป็นภาคีสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย ซึ่งมีชื่อย่อว่า เอเอฟซี และเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า"ASIAN FOOTBALL CONFEDERATION" ใช้อักษรย่อว่า A.F.C.
     พ.ศ. 2501 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะปกครอง ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2503 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะปกครอง ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2504-ปัจจุบันสมาคมฟุตบอลฯได้จัดการแข่งขันฟุตบอลถ้วยน้อย และถ้วยใหญ่ซึ่งภายหลังได้จัดการแข่งขันแบบเดียวกันของสมาคมฟุตบอลอังกฤษคือจัดเป็นประเภทถ้วยพระราชทาน ก, , , และ ง และยังจัดการแข่งขันประเภทอื่นๆ อีกเช่น ฟุตบอลนักเรียน ฟุตบอลเตรียมอุดม ฟุตบอลอาชีวะ ฟุตบอลเยาวชนและอนุชน ฟุตบอลอุดมศึกษา ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ฟุตบอลควีส์ คัพ ฟุตบอลคิงส์คัพ เป็นต้น ฯลฯ นอกจากนี้ยังได้จัดการแข่งขันและส่งทีมเข้าร่วมกับทีมนานาชาติมากมายจนถึงปัจจุบัน
     พ.ศ. 2511 สมาคมฟุตบอลได้สิทธิ์ส่งทีมฟุตบอลชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งที่ 2เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2511 ณ ประเทศเม็กซิโก
     พ.ศ. 2514 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะปกครอง ครั้งที่ 6 ชุดฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดแรกที่เดินทางไปแข่งขัน "กีฬาโอลิมปิก"ครั้งที่ 16 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2499
     พ.ศ. 2531 สมาคมฟุตบอลฯ ได้มีโครงการจัดการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศ รวมทั้งเชิญทีมต่างประเทศเข้าร่วมแข่งขัน และส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันในต่างประเทศตลอดปี 
     จากสภาพการณ์ปัจจุบันสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศฯ ได้สร้างเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏและประจักษ์แจ้งแก่มวลสมาชิกฟุตบอลนานาชาติ ตัวอย่างประเทศเกาหลีได้จัดฟุตบอลเพรสซิเด้นคัพปี 2530 นี้ได้เชิญทีมฟุตบอลชาติไทยเท่านั้นแสดงว่าแสดงว่าสมาคมฟุตบอลของไทยได้บริหารทีมฟุตบอลเป็นทีมที่มีมาตรฐานสูงสุดจนเป็นที่ยอมรับของเอเชียในปัจจุบันและต่อจากนี้ไป ในปีพุทธศักราช 2530 นี้ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้วางแผนพัฒนาทีมฟุตบอลชาติไทยให้ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น โดยมีโครงการทีมฟุตบอลชาติไทยชุดถาวรของสมาคมฟุตบอลฯเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลชาติไทย ซึ่งนักฟุตบอลทุกคนของสมาคมฯจะได้รับเงินเดือนเดือน ละ 3,000 บาท ในช่วงปี 2530-2531 นอกจากนี้สมาคมฟุตบอลฯได้วางแผนพัฒนาเกี่ยวกับการฝึกซ้อมและแข่งขันฟุตบอลโดยนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการฝึกด้วยตลอดจนหาช้างเผือกมาเสริมทีมชาติเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนสืบไป ขอใหสโมสรสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านโปรดติดตามและเอาใจช่วยให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยจงเจริญรุ่งเรืองสืบไปชั่วนิจนิรันดร์
     ไอเอฟเอบีได้ทดลองการกำหนดรูปแบบการทำคะแนนในช่วงต่อเวลาที่เรียกว่า โกลเดนโกล โดยทีมที่ทำประตูได้ก่อนในช่วงต่อเวลาจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน และ ซิลเวอร์โกล โดยทีมที่ทำประตูนำเมื่อจบครึ่งเวลาแรกจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน โดยโกลเดนโกลได้ถูกนำมาใช้ใน ฟุตบอลโลก 1998 และ ฟุตบอลโลก 2002 โดยมีการใช้ครั้งแรกในการแข่งขันทีมชาติฝรั่งเศส ชนะ ปารากวัย ในปี 1998 ขณะที่ซิลเวอร์โกลได้มีการใช้ครั้งแรกในฟุตบอลยูโร 2004 ซึ่งปัจจุบันโกลเดนโกล และซิลเวอร์โกลไม่มีการใช้แล้ว

         การแข่งขันระหว่างประเทศ ( ทีมชาติ )

     การแข่งขันฟุตบอลในระดับโลกนั้น มีการแข่งขันสูงสุดคือ ฟุตบอลโลก ที่จัดขึ้นทุก 4 ปี ซึ่งทีมที่ร่วมเล่นจะเป็นทีมชาติจากแต่ละประเทศที่เป็นสมาชิกของฟีฟ่า โดยแต่ละทีมจำเป็นต้องผ่านรอบคัดเลือก ของทางสมาพันธ์ เพื่อมีสิทธิเข้าร่วมเล่น โดยในแต่ละสมาพันธ์จะมีจำกัดจำนวนทีมที่ร่วมเล่นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับผลงานของแต่ละทีมในอดีต โดยทางฟีฟ่าจะเป็นทางกำหนด และนอกจากฟุตบอลโลกแล้ว ในแต่ละสมาพันธ์จะมีการแข่งขันสูงสุดของแต่ละสมาพันธ์เอง ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปี โดยผู้ชนะจากแต่ละสมาพันธ์จะทำการแข่งขันกันในคอนเฟเดอเรชันส์คัพพร้อมกับทีมที่ชนะเลิศในฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด
     นอกเหนือจากการแข่งขันที่จัดโดยฟีฟ่า การแข่งขันฟุตบอลทีมชาติที่เป็นที่จับตามองได้แก่การแข่งขันฟุตบอลในกีฬาระหว่างประเทศ เช่น โอลิมปิก (ทั่วโลก) เอเชียนเกมส์ (ทวีปเอเชีย) หรือ ซีเกมส์ (เฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
ภูมิภาค
เอเชีย
แอฟริกา
อเมริกาเหนือและกลาง
อเมริกาใต้
ออสเตรเลีย
ยุโรป
สมาพันธ์
AFC
CAF
CONCACAF
CONMEBOL
OFC
UEFA
การแข่งขันสูงสุด
ระดับโลก

         ทีมสโมสร

     สำหรับทีมสโมสรนั้น ทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันในประเทศ มีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันในระดับสมาพันธ์ที่มีการจัดขึ้นทุกปี (บางสมาพันธ์จะให้ทีมรองชนะเลิศร่วมด้วย) โดยทีมที่ชนะเลิศในแต่ละสมาพันธ์ จะมาแข่งขันกันในระดับโลก ในการแข่งขัน ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ ซึ่งจัดขึ้นทุกปี
ภูมิภาค
เอเชีย
แอฟริกา
อเมริกาเหนือและกลาง
อเมริกาใต้
ออสเตรเลีย
ยุโรป
สมาพันธ์
AFC
CAF
CONCACAF
CONMEBOL
OFC
UEFA
การแข่งขัน
ระดับสมาพันธ์
ระดับโลก

       ฟุตบอลในประเทศไทย

     ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย แต่ฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จได้แค่ในระดับอาเชียน และได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในขณะเดียวกันในปัจจุบันมีการจัดลีกฟุตบอลอยู่สองลีกคือ ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกบริหารงานโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และโปรลีกบริหารโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย และลีกรองดิวิชัน 1 ของแต่ละส่วน ประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า
     ฟุตบอลเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และไทยร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า

           ทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงในระดับโลก

        

       การแข่งขันฟุตบอลที่เป็นที่สนใจ

  • ฟุตบอลโลก
  • ฟุตบอลยูโร
  • โคปาอเมริกา
  • พรีเมียร์ลีก
  • กัลโซ่ เซเรียอา
  • บุนเดสลีกา
  • ลาลีกา
  • ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
  • เอฟเอคัพ
  • สปอนเซอร์ไทยพรีเมียร์ลีก
  • ฟุตบอล เป็นกีฬาที่ห้ามใช้มือหรือแขนเล่น อวัยวะที่นอกเหนือจากนี้ก็โอเค คุณสามารถที่จะเล่นบอลด้วยเท้า ขา หัว หรือถลกกางเกงเอาหำมาฟาดลูกบอลก็แล้วแต่คุณ
  • ลูกฟุตบอลเป็นลูกที่มีสัณฐานกลม ไม่เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติเลยว่ามีการใช้ลูกฟุตบอลที่มีสัณฐานเป็นเหลี่ยมๆ ในการแข่งขันที่เป็นทางการ ลูกบอลควรจะทำมาจากวัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้เล่น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมไม่ใช้ลูกตุ้มเหล็ก หรือลูกดัมเบล หรือทั่ง นำมาทำลูกฟุตบอล แต่จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นมีใครเอากระดาษหรือลูกโป่งมาเตะกันในสนามฟุตบอลที่เป็นทางการ โดยรวมแล้วเขาใช้ลูกที่ทำมาจากหนังกัน
  • แต่บางครั้ง เราก็สามารถเห็นได้ว่า ลูกฟุตบอลนำมาจากขวดพลาสติกเปล่า, กระดาษ, ลูกโป่ง, กระป๋องเปล่า, กล่องเปล่า หรือลูกมะพร้าว ฯลฯ ได้ด้วยเช่นกัน สำหรับการแข่งขันที่ไม่เป็นทางการ
  • พื้นที่ใช้แข่งขันปกติจะเป็นพื้นหญ้า, สามารถที่จะเล่นกันบนพื้นทรายหรือคอนกรีตก็ได้ เล่นได้ทุกที่ที่เป็นพื้นเรียบ แม้แต่บนหลังคารถไฟหรือหลังคารถทัวร์ถ้าคุณต้องการ
  • ในเกมจะมีกรรมการผู้ตัดสิน 1 คนวิ่งไปวิ่งมาในสนาม มีหน้าที่ควักใบเหลืองและใบแดงออกมาให้กับผู้เล่น ใบเหลืองนั้นถือเป็นการเตือนผู้เล่น ถ้าเป็นใบแดงก็เป็นการไล่ผู้เล่นออก, ใบเหลือง 2 ใบก็ส่งผลเหมือนกับใบแดงได้ แต่มีเรื่องแปลกแต่จริงที่ว่าเคยมีการแข่งขันฟุตบอลระดับโลกที่นักเตะคนเดียวได้ใบเหลืองถึง 3 ใบแต่ไม่โดนไล่ออก เนื่องจากกรรมการป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม (อาจจะถูกใครบางคนจ้างให้แกล้งป่วยเป็นโรคนี้ก็ได้)
  • ทำยังไงถึงจะได้ใบเหลือง - ใบแดง? ถ้าอยากได้ใบเหลือง - ใบแดง คุณจะต้องเป็นคนที่มีความใจกล้าบ้าบิ่น กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน (เช่น อัดคู่ต่อสู้ข้างหลัง, ชกคู่ต่อสู้, จิ้มตา, บีบไข่ ฯลฯ) แล้วผู้ตัดสินจะควักใบแดงออกมาให้คุณ มีนักเตะไม่น้อยที่ถือว่าใบแดงเป็นหลักฐานที่แสดงถึงประสบการณ์ที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนของตน มีนักเตะไม่น้อยที่สะสมใบแดงเป็นงานอดิเรก
  • ผู้เล่นทุกคนในทีมต้องใส่เสื้อสีเดียวกันหมด โดยผู้เล่นของทั้งสองทีมจะใส่เสื้อสีที่ต่างกันอย่างชัดเจน ยกเว้นผู้รักษาประตูที่สามารถแต่งตัวเปรี้ยวขนาดไหนก็ได้ ผู้รักษาประตูสามารถใส่ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นกางเกงขายาว, เสื้อแขนยาว, แว่นตาดำ, ใส่สูทผูกเนคไท, สวมเสื้อเกราะ, พกปืน 3 กระบอก, สวมหมวกกันน็อก, หรือแม้กระทั่งชุดว่ายน้ำทูพีซ ฯลฯ
  • เวลายิงประตูได้ห้ามยืนอยู่เฉยๆ ให้ทำท่าดีใจอะไรก็ได้สักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งรอบสนาม ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย เต้นระบำ ถอดเสื้อผ้า (เคยมีนักฟุตบอลบางคนถอดหมดจนเหลือแต่กางเกงในก็มี) แบมือแล้วทำหน้างงๆ เย้ยกองเชียร์คู่แข่ง โพสท่าพิลึกกึกกือ ทำท่าพี้ยา ฯลฯ
  • อีกอย่างหนึ่ง ปกติการกอดกันระหว่างชายกับชายเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในที่สาธารณะ แต่ในสนามฟุตบอลคุณสามารถทำได้ (แถมมีนักเตะบางรายแอบจูบกันในสนามก็มี จริงๆ!) ดังนั้น...จงแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา!! แต่ขอแนะนำว่าเวลาจะกอดเพื่อนร่วมทีมของคุณ ให้กอดเฉพาะเวลาที่มันยิงประตูได้เท่านั้น จะวิ่งตะลอนๆ ไปไล่กอดมันตอนที่มันกำลังเตะบอลอยู่ก็ใช่ที่ แต่ถ้าอดใจไม่ไหวจริงๆ ก็ตัวใครตัวมัน
  • เริ่มมีการแข่งขันฟุตบอลอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 แต่ประเทศเทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่ามาตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2526 นับว่าเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ชิงเป็นสมาชิกฟีฟ่าก่อนที่จะมีการแข่งขันฟุตบอลอย่างเป็นทางการ
  • สำหรับประเทศยุ่นปี่ ฟุตบอลนั้นจะแพ้ชนะไม่ได้วัดจากฝีมือ หรือดวง หรือการฝึกซ้อม หรือแผนการ แต่วัดด้วย 2 อย่างคือ ใครรักฟุตบอลกว่ากัน หรือใครนึกถึงความหลังแสนรันทดได้ดีกว่ากัน โดยนายซึบาสะได้คิดค้นวิธีขึ้นมา รวมถึงยังแอบมั่ว โคลนนิ่งผู้เล่นชาติโน้นชาตินี้ แล้วเปลี่ยนชื่อให้ผู้เล่น ตามความเกรียนของผู้จัดกวนทีม
  • ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในทวีปแอตแลนติสดังที่ จูลส์ เวิร์น นักเขียนชาวฝรั่งเศสถึงกับนำมาใช้เป็นชื่อหนังสือว่าใต้ทะเลมีบอลให้ดูถึงสองหมื่นลีก (Twenty Thousand Leagues Under the Sea แต่ฉบับภาษาไทยดันแปลเป็น ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์)
           ทักษะในการหยุดลูกฟุตบอลที่มาเรียบพื้นและในอากาศ
     การหยุดลูกบอล หมายถึง การบังคับลูกบอลที่เคลื่อนที่ในลักษณะต่างๆกันให้อยู่กับเท้าบน
พื้นดินหรือเคลื่อนไหวไปในลักษณะที่อยู่ในครอบครอง แบ่งออกได้เ
     1.การหยุดลูกบอลด้วยฝ่าเท้า
   วิธีการหยุด จะขึ้นอยู่กับลักษณะการเคลื่อนที่ของลูกที่มายังผู้รับ ดังนี้

1.1. การหยุดลูกบอลที่กลิ้งมาบนพื้นด้วยฝ่าเท้า
        หันหน้าเข้าหาลูกบอลที่กลิ้งมากับพื้นหรือวิ่งเข้าไปหา พร้อมกับยกเท้าข้างที่จะใช้หยุด ยกปลายเท้าเงยขึ้นให้ส้นเท้าสูงจากพื้นประมาณ 3 นิ้ว ตัวย่อโน้มลงไปข้างหน้า แขนกางออก งอเข่าของเท้าข้างที่จะหยุดลูกลงเล็กน้อย เมื่อลูกมาถึงใต้ฝ่าเท้า ใช้ฝ่าเท้ายันประกบลูกไว้กับพื้น กดปลายเท้าลงเบาๆ ขาเหยียดเล็กน้อย ถ้าลูกที่กลิ้งมามีความแรงมาก ต้องผ่อนเท้าตามความแรงของลูก เพื่อไม่ให้ลูกกระดอนจากเท้า ที่สำคัญคืออย่าใช้วิธีกระทืบลูก

1.2. การหยุดลูกบอลที่ลอยมาในอากาศด้วยฝ่าเท้า
        หันหน้าเข้าหาทิศที่ลูกบอลลอยมา เคลื่อนตัวเข้าหาตำแหน่งที่คาดว่าลูกบอลจะตกลงพื้น วางเท้าข้างที่ใช้เป็นหลักไว้กับพื้น ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดขึ้น ให้ส้นเท้าสูงจากพื้นประมาณ 6 นิ้วแขนกางออกเล็กน้อย ตัวย่อ งอเข่า ตาจับจ้องที่ลูก จังหวะที่ลูกบอลกระทบพื้นครั้งแรกและกำลังจะกระดอนขึ้น


1.3. การหยุดลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นด้วยฝ่าเท้า
        หันหน้าเข้าหาทิศที่ลูกบอลกระดอนมา เคลื่อนตัวเข้าหาตำแหน่งที่คาดว่าลูกบอลจะตกลงพื้นขณะที่ลูกบอลตกลงสู่พื้น ห่างจากตัวประมาณ 1 ก้าว ให้ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดขึ้น ใช้ฝ่าเท้าเตะส่วนบนของลูกบอลที่กระดอนขึ้นบังคับ
ให้ลงสู่พื้นและพาลูกบอลเคลื่อนไปยังที่ที่ต้องการสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ การหยุดต้องทำอย่างแผ่วเบา นุ่มนวลจังหวะการยกเท้าต้อง ไม่ยกรอและอย่าหยุดในลักษณะของการกระทืบลูกบอล ต้องมีความยืดหยุ่นในการหยุดลูกทุกครั้ง


     2.การหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านใน
   วิธีการหยุดจะขึ้นอยู่กับลักษณะการเคลื่อนที่จองลูกมายังผู้รับ ดังนี้
2.1. การหยุดลูกบอลที่กลิ้งมาบนพื้นด้วยข้างเท้าด้านใน
          หันหน้าเข้าหาลูกบอลที่กลิ้งมาบนพื้นหรือวิ่งเข้าไปหา สายตาจ้องมองที่ลูกจดเท้าข้างที่ไม่ได้ใช้หยุดลงบนพื้น ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ปลายเท้าหันออกด้านนอกในลักษณะตั้งได้ฉากกับขาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อลูกเคลื่อนใกล้เข้ามาจนได้ระยะให้เหยียดเท้าข้างที่จะใช้หยุดออกไปรับลูกบอลให้กระทบบริเวณข้างเท้าด้านในจังหวะที่ลูกบอลกระทบให้ดึงเท้านั้นกลับอย่างรวดเร็วมาทางด้านหลังเพื่อผ่อนความแรงของลูกให้อยู่ในการครอบครองโดยไม่กระดอนกลับออกไป


2.2. การหยุดลูกที่ลอยมาในอากาศด้วยข้างเท้าด้านใน
          หันหน้าเข้าหาทิศที่ลูกบอลลอยมา เคลื่อนตัวเข้าหาตำแหน่งที่คาดว่าลูกบอลจะตกลงพื้น วางเท้าข้างที่ใช้เป็นหลักไว้กับพื้น ทิ้งน้ำหนักตัว ลงบนเท้าข้างนั้น โน้มตัวไปข้างหน้า งอเข่าเล็กน้อย ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดขึ้นให้ส้นเท้าสูงจากพื้นประมาณ 6 นิ้ว ปลายเท้าหันออกข้างนอกในลักษณะตั้งได้ฉากกับขาอีกข้างหนึ่ง แขนกางออกเล็กน้อย ตาจับจ้องที่ลูกปล่อยให้ลูกบอลตกลงพื้นเลยจากจุดที่วางเท้าหลักเล็กน้อย จังหวะที่ลูกบอลกระทบพื้น ให้ใช้ข้างเท้าด้านในปะทะลูกไว้ พร้อมกับผ่อนเท้าขึ้นตามแรงกระดอนของลูก


     ถ้าต้องการจะหยุดลูกบอลที่ลอยมากลางอากาศสูงระดับเข่า หรือสูงกว่าไม่มากโดยไม่ให้
ตกลงพื้นก่อน ให้หันหน้าเข้าหาทิศที่ลูกบอลลอยมา เคลื่อนตัวเข้าหาตำแหน่งที่คาดว่าลูกบอลจะตก
ลงพื้น ตาจับจ้องที่ลูก งอเข่าของเท้าข้างที่ไม่ได้ใช้หยุดลูกลงเล็กน้อย กางแขนออกเพื่อช่วยในการ
ทรงตัว เมื่อลูกบอลพุ่งเข้ามาในระยะหยุดลูก ให้ยกเท้าขึ้นบิดปลานเท้าออกข้างนอก ในลักษณะได้
ฉากกับขาอีกข้างหนึ่ง โดยให้ปรับความสูงของเท้าตามความสูงของลูกบอลที่ลอยมา ใช้ฝ่าเท้าด้าน
ในรับลูกไว้ จังหวะที่ลูกบอลกระทบให้ดึงเท้านั้นกลับอย่างรวดเร็วมาทางด้านหลังเพื่อผ่อนความ
แรงของลูก พาลูกบอลลงสู่พื้น


     3. การหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก
   เป็นการหยุดลูกด้วยหลังเท้าด้านนอกตรงด้านนิ้วก้อย ใช้เมื่อรับลูกที่มาจากด้านข้าง
สามารถจะพาลูกบอลเล่นต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียเวลาหมุนตัวเปลี่ยนทิศทาง เป็นลูกที่ควบคุมได้
ค่อนข้างยาก ลูกบอลอาจจะกระดอนไปไกลได้ วิธีการ คือ ให้หันหน้าเข้าหาทิศทางที่ลูกบอลมา ตา
จับจ้องที่ลูก กางแขนช่วยในการทรงตัว ตัวย่อลงเล็กน้อย ใช้เท้าข้างที่ไม่ได้ใช้หยุดลูกเป็นหลักและ
รับน้ำหนักตัว เมื่อลูกบอลมาได้ในระยะที่จะรับลูก ให้ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดลูกไปรับลูกซึ่งอาจจะ
กลิ้งมาตามพื้นหรือกระดอนขึ้นจากพื้น ใช้ข้างเท้าด้านนอกแตะประคองลูกลงสู่พื้นเบาๆ ผ่อนเท้า
ตามความแรงของลูก


     4. การหยุดลูกบอลด้วยหลังเท้า
   คล้ายกับการหยุดลูกในอากาศด้วยข้างเท้าด้านใน แต่ให้หันหน้าเข้าหาทิศทางที่ลูกบอลลอยมา ยกเท้าขึ้นดักรับในจังหวะที่ลูกบอลลอยมาทันที จังหวะที่ลูกบอลสัมผัสหลังเท้า ให้รีบผ่อนเท้าทั้งท่อนตั้งแต่หัวเข่าลงมาตามความแรงของลูกที่พุ่งมาแล้วดึงเข้าหาตัว ระวังอย่าเกร็งขาจนแข็งเพราะจะคล้ายกับการเตะสวน ลูกจะกระดอนออกไปไกล สำหรับลูกที่กลิ้งมาตามพื้นหรือลูกที่กระดอนขึ้นจากพื้น ให้หันหน้าเข้าหาทิศที่ลูกบอลลอยมา ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดลูกขึ้นจากพื้น
เล็กน้อย ปลายเท้างุ้มลงสู่พื้น จังหวะที่ลูกบอลสัมผัสหลังเท้าให้ผ่อนเท้าไปข้างหลังเล็กน้อย


     5. การหยุดลูกบอลด้วยเข่าหรือหน้าขา
   ใช้ทั้งเพื่อการหยุดลูก และทำให้ลูกบอลลอยสูงขึ้นในระดับที่จะเตะซ้ำด้วยลูกวอลเล่ย์ได้ ให้หันหน้าเข้าหาทิศทางที่ลูกบอลจะลอยมา เคลื่อนที่เข้าหาตำแหน่งที่คาดว่าลูกน่าจะตก ตาจับจ้องที่ลูก กางแขนออกเพื่อช่วยการทรงตัว จดเท้าข้างที่ใช้เป็นหลักไว้บนพื้น เข่างอเล็กน้อย เมื่อลูกบอลลอยมาได้ระยะ ให้ยกเข่าข้างที่จะใช้หยุดขึ้นจนขาท่อนบนเกือบขนานกับพื้น ขาท่อนล่างทำมุมกับเข่าประมาณ 90 องศา ใช้หน้าขาบริเวณเหนือเข่าเล็กน้อยในการรับลูก จังหวะที่สัมผัสลูกให้ผ่อนขาลงเล็กน้อยตามความแรงของลูก ให้ลูกกระดอนจากขาลงสู่พื้นด้านหน้า แล้วใช้ฝ่าเท้าหรือข้างเท้าหยุดลูกบอล


     6. การหยุดลูกบอลด้วยหน้าแข้ง
   ใช้กับการหยุดในลักษณะกระทันหัน ลูกบอลพุ่งตกลงมาอย่างรวดเร็ว ให้หันหน้าเข้าหาทิศทางที่คาดว่าลูกบอลจะกระดอนขึ้น เข่างอ เท้าแยกออกจากกันเล็กน้อย แต้ถ้าต้องหยุดด้วยสองหน้าแข้ง ให้วางเท้าชิดกัน กางแขนออกเพื่อช่วยการทรงตัว จังหวะที่ลูกบอลตกกระทบพื้น ให้ย่อเข่าไปข้างหน้า ใช้หน้าแข้งรับลูกที่กระดอนขึ้นจากพื้น ลูกบอลจะกระดอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ให้รีบก้าวเท้าไปเพื่อครอบครองลูกเพื่อเล่นต่อไป


     7. การหยุดลูกกระดอนด้วยหน้าท้อง
   ใช้เมื่อลูกบอลตกลงพื้นที่เบื้องหน้า และหยุดลูกบอลด้วยวิธีอื่นไม่ได้ ให้หันเข้าหาทิศที่ลูกบอลลอยมา
เกร็งกล้ามท้องไว้กางแขนช่วยการทรงตัว เท้าแยกจากกันเล็กน้อย เมื่อลูกบอลกระดอนขึ้นจากพื้นให้ใช้หน้าท้องปะทะลูกไว้ จังหวะที่ลูกบอลสัมผัสหน้าท้องให้ผ่อนท้องขึ้นเล็กน้อยตามความแรงของลูก ปล่อยให้ลูกบอลลงพื้น ให้ก้าวเท้าเพื่อครอบครองลูกเพื่อเล่นต่อไป

     8. การหยุดลูกบอลด้วยหน้าอก
   ใช้เมื่อลูกบอลมาเร็วแบบประชิดตัว และมีความสูงกว่าระดับเอว เป็นการหยุดลูกเพื่อเตะลูกลอยกลางอากาศหรือลูกเรียดต่อได้ตามแต่จังหวะ ให้หันหน้าเข้าหาทิศทางที่คาดวาลูกบอลจะมา ตาจับจ้องลูก เท้าทั้งสองอาจขนาน หรือเท้าใดเท้าหนึ่งอยู่หน้าก็ได้ เมื่อลูกบอลลอยมาเกือบจะกระทบหน้าอก ให้ยกตัวขึ้นทันที กล้ามเนื้อส่วนอกเกร็ง เข่าย่อ จังหวะที่ลูกนอลกระทบอกให้เอนหลังผ่อนอกลง หน้าอกจะอยู่ในลักษณะเหมือนเป็นแอ่งไว้รองรับลูกบอล กางแขนออกเพื่อช่วยการทรงตัว งอเข่าของเท้าหน้าเล็กน้อยและผ่อนตัวลงทันที ปล่อยให้ลูกบอลลงพื้น ให้ก้าวเท้าไปเพื่อครอบครองลูกเพื่อเล่นต่อไป หรือเตะต่อตามจังหวะและโอกาส


     9.การหยุดลูกบอลด้วยศีรษะ
   ใช้เมื่อลูกบอลมาสูงเกินกว่าจะรับด้วยวิธีอื่นได้ อาจใช้กับการ หยุดเพื่อยิงประตู เปลี่ยนทิศทาง พักบอลเพื่อโหม่งซ้ำ
หรือหยุดลูกเพื่อส่งบอลต่อให้หันหน้าไปในทิศทางลูกบอลลอยมาตาจับจ้องที่ลูก เท้ายืนขานหรือมีเท้าใดเท้าหนึ่งนำยืดตัวขึ้นเงยหน้าขึ้น จังหวะที่ลูกบอลกระทบหน้าผากให้ย่อตัวหรืออาจจะกระโดดขึ้นเพื่อหยุดลูก เกร็งลำคอไว้อย่าให้หงายไปข้างหลังหรือสะบัดไปข้างหน้าเล่นลูกต่อตามโอกาสและจังหวะ

 

           กฎ กติกา มารยาท ในการเล่นกีฬาฟุตบอล

กติกาข้อที่ 1 สนาม (The Field of Play)

   1.ขนาดของสนาม (Dimensions)
   สนามต้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวต้องไม่สั้นกว่า 90 เมตร ไม่ยาวกว่า 120 เมตร ความกว้างต้องไม่แคบ
กว่า 45 เมตรไม่กว้างกว่า 90 เมตร ส่วนในการแข่งขันระหว่างประเทศ ความยาวต้องไม่สั้นกว่า 100 เมตร หรือยาวกว่า 110 เมตร ความกว้างไม่แคบกว่า 64 เมตร หรือกว้างกว่า 75 เมตร
   2.การเขียนเส้นสนาม (Field Markings)
   ในสนามต้องเขียนเส้นต่าง ๆ ที่กำหนดขอบบริเวณต่าง ๆ ให้ชัดเจนเส้นยาวทั้งสองข้าง เรียกว่า" เส้นข้าง "
(Touch lines)เส้นหลังซึ่งสั้นกว่าทั้งสองข้าง เรียกว่า " เส้นประตู " (Goal lines) ที่มุมสนามมีธงปักไว้ทุกมุม เส้นทุกเส้นจะมีขนาดกว้างไม่เกิน 12 ซม. (5นิ้ว) ให้เขียนเส้นขวางกลางสนามเรียกว่าสนามถูกแบ่งออกเป็น สองครึ่งเท่ากันด้วยเส้นแบ่งแดนขวางตรงกึ่งกลางสนาม จุดกึ่งกลางสนามระบุให้ชัดเจนตรงกึ่งกลาง
ของเส้นแบ่งแดน เขียนวงกลมกลางสนามรัศมี 9.15 เมตรไว้โดยรอบจุดกึ่งกลางสนามเขตประตู (The Goal Area)
   3.เขตประตูที่ปลายสนาม
   แต่ละข้างกำหนดดังนี้ ให้เขียนเส้นตรง 2 เส้นตั้งฉากกับเส้นประตูจากจุดที่ห่างจากด้านในของเสาประตูแต่ละข้างออกไปข้างละ 5.50 เมตร ยื่นเข้าไปในสนามให้ได้ความยาว 5.5 เมตร เชื่อมปลายเส้นด้วยเส้นตรงที่ลากขนานกับ เส้นประตู บริเวณที่ล้อมรอบด้วยเส้นตรง 3 เส้นนี้และเส้นประตูเราเรียกว่า " เขตประตู " (Goal area)
   4.เขตโทษ (The penalty Area)
   เขตโทษที่ปลายสนามแต่ละข้างกำหนดดังนี้ ให้เขียนเส้นตรง 2 เส้นตั้งฉากกับเส้นประตู จากจุดที่ห่างจากด้านในของเสาประตูแต่ละข้างออกไปข้างละ 16.5 เมตร ยื่นเข้าไปในสนามให้ได้ความยาว 16.5 เมตร เชื่อมปลายเส้นด้วยเส้นตรงที่ลากขนานกับเส้นประตู บริเวณที่ล้อมรอบด้วยเส้นตรง 3 เส้นนี้และเส้นประตูเราเรียกว่า " เขตโทษ " (penalty Area)
   จุดโทษ ห่างจากจุดกึ่งกลางระหว่างเสาประตูเข้าไป 11 เมตร จุดนี้เป็นจุดเตะโทษ

   5.เสาธง (Flagposts)
   เสาธงสูงไม่ต่ำกว่า 1.5เมตร ปลายยอดมน ติดผืนธงบนยอดปักอยู่ทุกมุมของสนามอาจปักเสาธง ณ ตำแหน่งกึ่งกลางของสนาม โดยห่างจากเส้นข้างออกไปไม่น้อยกว่า 1 เมตร (1หลา)

   6.เขตมุมธง (The Corner Arc)
   ใช้มุมสนามแต่ละมุมเป็นจุดศูนย์กลางเขียนเส้นโค้ง ? ของวงกลมด้วย รัศมี 1 เมตร ไว้ภายในเขตสนาม

   7.ประตู (Goals)
   ประตูต้องวางอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของเส้นประตูแต่ละเส้นประตูต้องมีเสาสองต้น เสาสองต้นนั้นจะปักตั้งตรง
บนเส้นประตูห่างจากธงมุมสนามเข้ามาเท่ากันเชื่อมยอดเสาทั้งสองด้วยคานประตูที่อยู่ในแนวนอน เสาและคานประตู
ูต้องทาสีขาวเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยประตูต้องยึดติดกับสนามให้มั่นคง ประตูแบบถอดเคลื่อนที่ได้ต้องมีความ
ปลอดภัยตามที่กำหนดไว้


        มติของสภาฟุตบอลระหว่างประเทศ
   1.ถ้าคานประตูหลุดหรือหัก ต้องหยุดทำการแข่งขันจนกว่าจะทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน
ถ้าไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ ต้องยกเลิกการแข่งขันนั้น ห้ามใช้เส้นเชือกขึง คานแทนประตู ถ้าซ่อมแซมคานประตูได้ให้
เริ่มการแข่งขันต่อ โดยให้ผู้ตัดสินปล่อยบอลเริ่มเล่น ณจุดที่การเล่นถูกยุติลง
   2.เสาและคานประตูจะต้องทำด้วยไม้โลหะ หรือวัสดุอื่นใดที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาฟุตบอลฯ รูปร่างอาจจะเป็น
รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปกลม หรือรูปวงรีก็ได้ และต้องไม่เป็นอันตรายต่อผู้เล่น
   3.ห้ามไม่ให้มีป้ายโฆษณา ไม่ว่าจะจริงหรือเสมือนบนพื้นสนามแข่งขันและที่อุปกรณ์สนาม( รวมถึงตาข่ายประตูและ
บริเวณใกล้เคียง) นับจากเวลาที่ผู้เล่นของทั้งสองทีมเข้าสู่สนามจนกระทั่งถึงเวลาที่ผู้เล่นออกจากสนามตอนพักครึ่งเวลา และนับจากผู้เล่นทั้งสองทีมกลับเข้าสู่สนามจนกระทั่งจบสิ้นการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่มีชิ้นโฆษณาไม่ว่าจะ
เป็นรูปแบบใดปรากฏบนประตู ตาข่าย เสาธง หรือผืนธง ไม่มีอุปกรณ์พิเศษ ( เช่น กล้อง ไมโครโฟน ฯลฯ) ติดบนสิ่งที่กล่าวมาแล้ว
   4.ห้ามไม่ให้มีภาพจำลองไม่ว่าจะจริงหรือเสมือนของสัญลักษณ์แทน หรือตราของ FIFAสหพันธ์ สมาคมระดับชาติ สโมสรหรือองค์กร อื่นๆบนพื้นสนามแข่งขันและที่อุปกรณ์สนาม ( รวมถึงตาข่าย ประตู และบริเวณใกล้เคียง)ตามที่
ระบุไว้ในมติข้อที่3
   5.อาจทำเครื่องหมายนอกเขตสนามแข่งขัน หากจากเขตมุมออกมา 9.15 เมตร (10 หลา) และ
   6. ตั้งฉากออกมาจากเส้นประตูเพื่อให้แน่ใจว่า เป็นระยะห่างอย่างน้อยที่สุดของผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามขณะมีการเตะมุม

กติกาข้อที่ 2 ลูกบอล (The Ball)

   1 .ป็นทรงกลม
   2. เปลือกนอกทำด้วยหนังหรือวัสดุอื่นใดที่เหมาะสม
   3. วัดโดยรอบไม่ต้องมากกว่า 70 ซม . หรือน้อยกว่า 68 ซม .
   4. น้ำหนักของลูกบอลต้องไม่หนักกว่า 450 กรัม หรือเบากว่า 410 กรัม ณ ตอนเริ่มการ แข่งขัน
   5. ความดันของลูกบอลเท่ากับ 0.6 – 1.1 บรรยากาศ ณ ระดับน้ำทะเล การเปลี่ยนลูกบอลที่ชำรุดถ้าลูกบอลแตกหรือชำรุด
           ระหว่างการแข่งขัน
   6. ให้หยุดการแข่งขัน
   7. เริ่มการแข่งขันต่อโดยให้ผู้ตัดสินปล่อยลูกที่เปลี่ยนมาใหม่จากมือผู้ตัดสิน (Drop Ball) ณ จุด
 ลูกบอลแรกชำรุด
         ถ้าลูกบอลแตกหรือชำรุดระหว่างการเล่นได้หยุดลง เช่น การเตะเริ่ม เล่น การเตะจากประตู การเตะมุม การเตะโทษ
                 ูเราเรียกว่า " เขตโทษ " การเตะโทษ ณ จุดเตะโทษ หรือการทุ่มลูก
   8. ให้เปลี่ยนลูกแล้วเริ่มเล่นใหม่ตามวิธีในกรณีนั้นๆ ต้องไม่เปลี่ยนลูกบอลในระหว่างการแข่งขัน
   9. โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ตัดสิน

กติกาข้อที่ 3 จำนวนผู้เล่น(The Number of Players)

   ผู้เล่น (Players)
   มการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ทีม แต่ละทีมมีผู้เล่นไม่เกิน 11 คน โดยมีคนหนึ่งในทีม เป็นผู้รักษาประตู การแข่งขันจะเริ่มไม่ได้หากทีมใดทีมหนึ่งมีผู้เล่นน้อยกว่า 7 คน การแข่งขันที่เป็นทางการ ในการแข่งขันที่เป็นทางการภายใต้การอุปถัมภ์ของ FIFA สหพันธ์ หรือสมาคมแห่งชาติ ที่เปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ไม่เกิน 3 คน การแข่งขันอื่นๆ ในการแข่งขันอื่นๆ สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้สูงสุด 5 คน การแข่งขันทุกแบบ ในการแข่งขันทุกแบบ ต้องส่งรายชื่อผู้เล่นสำรอง สำหรับการเปลี่ยนแทนต่อผู้ตัดสินก่อน การแข่งขัน ผู้เล่นที่ไม่ได้แจ้งชื่อไว้จะเข้าร่วมการแข่งขันไม่ได้

กติกาข้อที่ 4 อุปกรณ์ของผู้เล่น (The Player’s Equipment)

   อุปกรณ์พื้นฐาน (Basic Equipment)
   อุปกรณ์พื้นฐานของผู้เล่น คือ
    1. เสื้อยืด หรือเสื้อเชิ้ต
    2. กางเกงขาสั้น ถ้าสวมกางเกงชั้นในเก็บความร้อน สีหลักต้องเป็นสีเดียวกับกางเกงขาสั้น
    3. ถุงเท้ายาว
    4. เครื่องป้องกันหน้าแข้ง ( สนับแข้ง Shinguards )
    5. รองเท้า
   ผู้รักษาประตู
   ผู้รักษาประตูแต่ละคน ต้องสวมเสื้อผ้าที่มีสีแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่น ผู้ตัดสิน หรือผู้ช่วยผู้ ตัดสิน
กติกาข้อที่ 5 ผู้ตัดสิน (The Referee)

   อำนาจและหน้าที่ของผู้ตัดสิน
   1. ควบคุมการแข่งขันโดยร่วมมือกับผู้ช่วยผู้ตัดสิน และผู้ตัดสินสำรองเมื่อมีการร้องขอ
   2. เพื่อให้ความมั่นใจว่าลูกบอลเป็นไปตามข้อกำหนดในกติกาข้อที่ 2
   3. ตรวจสอบเครื่องอุปกรณ์ของผู้เล่นให้แน่ใจว่าเป็นไปตามข้อกำหนดในกติกาข้อที่ 4
   4. ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาเวลาและบันทึกการเล่นของการแข่งขันนั้นๆ
   5. พิจารณาสั่งหยุดการเล่น พักการเล่น หรือระงับการแข่งขันเมื่อมีการละเมิดกติกาการแข่งขันใดๆ
   6. พิจารณาสั่งหยุดการเล่น พักการเล่น หรือระงับการแข่งขันเมื่อมีการรบกวนจากปัจจัยภายนอก
   7. หยุดการเล่นเมื่อมีความเห็นว่า ผู้เล่นได้รับบาดเจ็บสาหัสและให้แน่ใจว่าผู้เล่นนั้นได้รับการ
     เคลื่อนย้ายออกจากสนาม
   8. อนุญาตให้การเล่นดำเนินต่อไป จนกว่าลูกตายถ้ามีความเห็นว่าการบาดเจ็บของผู้เล่นไม่มากนัก
   9. ให้แน่ใจว่าผู้เล่นที่บาดเจ็บจนเลือดออกออกพ้นสนามแข่งขันผู้เล่นจะกลับเข้าสนามได้ต่อเมื่อได้รับ สัญญาณจากผู้ตัดสินเมื่อเห็นว่าเลือดหยุดไหลแล้วเท่านั้น
   10. ลงโทษการสกัดผิดกติกาที่รุนแรงกว่าของผู้เล่น ที่ทำการสกัดผิดกติกามากกว่า 1 ครั้งในเวลาเดียวกัน
   11. ลงโทษผู้เล่นที่ละเมิดกติกาทั้งตักเตือนและไล่ออก
   12. ลงโทษเจ้าหน้าที่ทีมที่ไม่ควบคุมตัวเองให้อยู่ในกิริยาท่าทาง หรือมารยาทที่เหมาะสม
   13. ตักสินใจตามคำแนะนำของผู้ช่วยผู้ตัดสินเมื่อไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
   14. ไม่ให้บุคคลที่ไม้ได้รับอนุญาตเข้ามาในสนามแข่งขัน
   15. ให้สัญญาณการเริ่มเล่นใหม่ทุกคราว ภายหลังเมื่อการเล่นหยุดลง
   16. มีหน้าที่จัดทำรายงานการแข่งขันครั้งนั้นๆ ซึ่งรวมถึงการลงโทษผู้เล่นและ / หรือ เจ้าหน้าที่ทีมและ เหตุการณ์อื่นใดที่เกิดขึ้นทั้งก่อนระหว่างหรือหลังการแข่งขัน

กติกาข้อที่ 6 ผู้ช่วยผู้ตัดสิน(The Assistant Referees)
   หน้าที่ของผู้ช่วยผู้ตัดสิน
   1. ทั้งสองคนได้รับการแต่งตั้งให้มีหน้าที่แจ้งผู้ตัดสินดังนี้ ( การตัดสินเด็ดขาดอยู่ที่ผู้ตัดสิน )
    - เมื่อลูกบอลทั้งลูกออกนอกสนามแข่งขัน
    - ฝ่ายใดมีสิทธิ์ที่จะได้เตะมุม เตะจากประตู หรือทุ่มลูก
    - เมื่อผู้เล่นต้องถูกลงโทษเนื่องจากอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า
    - เมื่อมีการขอเปลี่ยนตัวผู้เล่น
    - เมื่อเกิดกระทำผิดหรือเหตุการณ์อื่นใดที่ผู้ตัดสินไม่เห็น การช่วยเหลือ
   ผู้ช่วยผู้ตัดสินยังช่วยเหลือผู้ตัดสินควบคุมการเล่นให้เป็นไปตามกติกาการแข่งขัน
กติกาข้อที่ 7 ระยะเวลาในการแข่งขัน(The Duration of the Match)
   ช่วงเวลาการแข่งขัน
   การแข่งขันแบ่งออกเป็นสองช่วงเวลาเท่าๆ กัน ช่วงละ 45 นาที ข้อตกลงใดๆ ในการเปลี่ยนระยะเวลา การเล่น ต้องกระทำก่อนการเริ่มแข่งขัน และต้องเป็นไปตามกติกาการแข่งขัน
   พักครึ่งช่วงเวลา
   1. ผู้เล่นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพักระหว่างครึ่งเวลา
   2. ช่วงพักครึ่งเวลาต้องไม่เกิน 15 นาที
   3. ระยะเวลาของช่วงพักครึ่งเวลาจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อผ่านความเห็นชอบของผู้ตัด สินเท่านั้น
   4. ต้องชดเชยเวลาที่เสียไปด้วย
   การชดเชยเวลาในแต่ละช่วงที่เวลาเสียไปเนื่องจาก
   1. การเปลี่ยนตัว
   2. การบาดเจ็บของผู้เล่น
   3. การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บออกจากสนามแข่งขัน เพื่อทำการรักษา
   4. เวลาที่สูญเปล่า
   5. สาเหตุอื่นๆ
กติกาข้อที่ 8 การเริ่มเล่นและการเริ่มเล่นใหม่ (The Start and Restart of play)

   ก่อนเริ่มการแข่งขัน

   ให้เสี่ยงโดยการโยนเหรียญ ทีมที่ชนะการเสี่ยงเป็นผู้มีสิทธิ์ในการเลือกแดนเพื่อเริ่มเล่นใน ครึ่งแรก อีกทีมหนึ่ง
จะเป็นฝ่ายเขี่ยบอลเริ่มเล่นการแข่งขัน ทีมที่ชนะการเสี่ยงจะเป็นฝ่ายเขี่ยบอล เริ่มเล่นก่อนในครึ่งเวลาที่สอง ในครึ่ง
ที่สองให้เปลี่ยนแดนและบุกเข้ายิงประตูด้านตรงข้าม
กติกาข้อที่ลูกบอลอยู่ในการเล่นและออกนอกการเล่น(The Ball In and Out of Play)
   ลูกบอลออกนอกการเล่น (Ball Out of Play)
   ลูกบอลถือว่าออกนอกการเล่น เมื่อ

    1. ลูกบอลได้ผ่านเส้นประตู หรือเส้นข้างออกไปนอกสนามหมดทั้งลูก ไม่ว่าจะกลิ้งไป บนพื้นสนามหรือลอยไปในอากาศ
    2. ผู้ตัดสินสั่งให้หยุดการเล่นลูกบอลอยู่ในการเล่น (Ball In Play) นับตั้งแต่ได้เริ่มการเล่น เป็นต้นไป ลูกจะอยู่ในการเล่นโดยตลอดจนถึงเลิกการเล่น รวมทั้งกรณีต่อไปนี้ด้วย     
    3. ลูกที่กระดอนจากเสาประตู คานประตู หรือ เสาธงและยังคงอยู่ในสนามแข่งขัน     
    4. ลูกที่กระดอนจากทั้งผู้ตัดสิน หรือผู้ช่วยผู้ตัดสินซึ่งอยู่ในสนามแข่งขัน

 

กติกาข้อที่ 10 การได้ประตู (The Method of Scoring)
   การได้ประตู   
   ให้ถือว่าได้ประตูเมื่อลูกบอลทั้งสองลูกผ่านข้ามเส้นประตูเข้าไประหว่างเสาประตูและใต้ คานประตูโดยที่ไม่มีการ
ละเมิดกติกาการแข่งขันโดยฝ่ายที่ทำประตูได้ก่อนหน้านั้นทีมชนะทีมที่ทำประตูได้มากกว่าในระหว่างการแข่งขัน
ถือเป็นผู้ชนะ ถ้าทั้งสองฝ่ายทำประตูได้เท่า กันหรือต่างทำประตูกันไม่ได้ ถือว่า เสมอกัน



กติกาข้อที่ 11 การล้ำหน้า (Offside)
   ตำแหน่งล้ำหน้า
   การอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้ายังไม่ถือว่าเป็นการล้ำหน้า
   การล้ำหน้า
   ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าจะถูกลงโทษเฉพาะเมื่อ ผู้ตัดสินพิจารณาเห็นว่า ณ ช่วงขณะที่ ผู้เล่นในทีมเดียวกันคนหนึ่งคนใดสัมผัสถูกหรือเล่นลูกบอลผู้เล่นนั้น
    1. เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเล่น หรือ
    2. เข้ามาเกี่ยวข้องกับคู่ต่อสู้ หรือ
    3. ได้เปรียบคู่ต่อสู้จากการอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า
   การไม่ล้ำน้า
   ผู้เล่นจะไม่ถือว่าล้ำหน้า ถ้าได้รับลูกโดยตรงจาก
     1. การเตะจากประตู
     2. การทุ่มจากเส้นข้าง
     3. การเตะจากมุม
   การละเมิด / การลงโทษ
   ถ้าผู้เล่นถูกตัดสินให้เป็นเล่นล้ำหน้า ผู้ตัดสินจะให้คู่ต่อสู้เตะโทษโดยอ้อม ณ ที่ซึ่งการ ละเมิดกติกาได้เกิดขึ้น

กติกาข้อที่ 12 การเล่นที่ผิดกติกาและเสียมารยาท(Fouls and Misconduct)

   การเล่นที่ผิดกติกา และ เสียมารยาทจะถูกลงโทษ ดังนี้
   การเตะลูกโทษโดยตรง (Direct Free Kick)
   ทีมตรงข้ามจะได้เตะลูกโทษโดยตรง ถ้าผู้เล่นคนใดกระทำผิดใน 6 ตัวอย่างต่อไปนี้ซึ่งผู้ตัด สินพิจารณาแล้วว่าไม่ระมัดระวัง บุ่มบ่าม ไม่ยั้งคิด หรือรุนแรงเกินเหตุ คือ
     1. เตะ หรือพยายามจะเตะคู่ต่อสู้
     2. ทำ หรือพยายามที่จะทำให้คู่ต่อสู้ล้มลง
     3. กระโดดเข้าหาคู่ต่อสู้
     4. พุ่งกระแทกใส่คู่ต่อสู้
     5. ชน หรือพยายามชนคู่ต่อสู้
     6. ผลักหรือดันคู่ต่อสู้ทีมตรงข้ามจะยังได้เตะลูกโทษโดยตรง
   ถ้าผู้เล่นคนใดกระทำผิดใน 4 อย่าง ดังต่อไปนี้
        - กระแทกคู่ต่อสู้เพื่อแย่งครองลูกบอล
        - ดึงคู่ต่อสู้
        - ถ่มน้ำลายรดคู่ต่อสู้
        - เล่นลูกด้วยมือโดยเจตนา
   บทลงโทษ
     
การละเมิดกติกาที่ต้องตักเตือน ผู้เล่นคนใดเจตนากระทำผิดข้อหนึ่งข้อใดใน 9 ข้อ ดังต่อไปนี้
   1.แตะ หรือ พยายามจะเตะคู่ต่อสู้
   2.ขัดขาคู่ต่อสู้ คือทำหรือพยายามจะทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงด้วยการใช้ขา หรือด้วยการหมอบลงข้างหน้าหรือข้างหลัง
   3.กระโดดเข้าหาคู่ต่อสู้
   4.ชนคู่ต่อสู้อย่างรุนแรง
   5.ชนคู่ต่อสู้ข้างหลัง นอกจากคู่ต่อสู้นั้นเจตนากีดกัน
   6.ทำร้าย หรือพยายามจะทำร้ายคู่ต่อสู้ หรือถ่มน้ำลายรดคู่ต่อสู้
   7.ฉุด ดึง คู่ต่อสู้
   8.ผลัก ดัน คู่ต่อสู้
   9.เล่นด้วยมือ คือ ทุบ ต่อย ปัด เตะลูกด้วยมือ หรือแขน

   ผู้เล่นต้องถูกตักเตือนและให้ใบเหลืองถ้าละเมิดกติกาใน 7 ข้อต่อไปนี้      
     1. ผิดในการแสดงความไม่มีน้ำใจนักกีฬา
     2. คัดค้านการตัดสินด้วยคำพูดหรือการกระทำ
     3. ยังคงละเมิดกติกาการแข่งขันซ้ำอีก
     4. ถ่วงเวลาการเริ่มการแข่งขัน
     5. ไม่ยอมถอยให้ได้ระยะห่างตามกติกา เมื่อจะเริ่มการเล่นใหม่ด้วยการเตะมุม หรือการ เตะโทษโดยอ้อม
     6. เข้าหรือกลับมาในสนามแข่งขันอีกครั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ตัดสิน
     7. เจตนาออกจากสนามแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ตัดสิน  

   การละเมิดกติกาที่ต้องไล่ออกจากสนาม
   ผู้เล่นต้องถูกไล่ออกและให้ใบแดงถ้าละเมิดกติกาใน 7 ข้อต่อไปนี้
     1. เล่นผิดกติกาอย่างร้ายแรง
     2. ประพฤติผิดระเบียบวินัยของนักเตะอย่างรุนแรง
     3. ถ่มน้ำลายรดคู่ต่อสู้หรือบุคคลอื่น
     4. ไม่ยอมให้คู่ต่อสู้ทำประตู หรือมีโอกาสทำประตูอย่างชัดแจ้งเจตนาจับลูกบอล
     5. ไม่ยอมให้คู่ต่อสู้ทำประตู หรือมีโอกาสทำประตูอย่างชัดแจ้งโดยการละเมิดกติกาที่ต้องถูกให้เตะโทษโดยอ้อมหรือการเตะโทษที่จุดเตะโทษ
      6. ใช้คำพูดก้าวร้าว น่ารังเกียจ สบประมาท หรือกล่าวร้าย
      7. ได้รับการตักเตือนเป็นครั้งที่ 2 ในการแข่งขันเดียวกัน

กติกาข้อที่ 13 การเตะโทษ (Free Kicks)

   การเตะโทษเป็นได้ทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม
   การเตะโทษโดยตรง (The Direct Free Kick)
   1. ถ้าลูกบอลจากการเตะลูกโทษโดยตรง เข้าประตูของฝ่ายที่ละเมิดกติกาโดยที่ลูกไม่ถูกผู้ใดก็นับว่าได้ประตู
   2. ถ้าลูกบอลจากการเตะลูกโทษโดยตรง เข้าประตูของฝ่ายตนเองโดยที่ลูกไม่ถูกผู้ใด ให้ฝ่ายตรงข้ามได้ลูกเตะมุม
   การเตะโทษโดยอ้อม (The Indirect Free Kick)
   การให้สัญญาณ      
   กรรมการจะให้สัญญาณว่าเป็นการเตะลูกโทษโดยอ้อมโดยยกแขนขึ้นชูเหนือ ศีรษะ และยกค้างไว้อยู่เช่นนั้น จนกว่าการเตะโทษจะเริ่มขึ้น และลูกบอลถูกผู้เล่นอื่นหรือลูกตาย
   ตำแหน่งของการเตะลูกโทษ
   การเตะลูกโทษภายในเขตโทษ
   เมื่อฝ่ายรับเป็นผู้เตะโทษไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม      
      1. ฝ่ายตรงข้ามทุกคนต้องอยู่ห่างจากลูกบอลอย่างน้อย 9.15 เมตร (10 หลา)
      2. ฝ่ายตรงข้ามทุกคน ต้องอยู่นอกเขตโทษจนกว่าลูกบอลจะเข้าสู่การเล่น
      3. ลูกบอลจะเข้าสู่การเล่น เมื่อลูกบอลถูกเตะออกนอกเขตโทษแล้ว
      4. การเตะโทษภายในบริเวณเขตประตูนั้น จะตั้งเตะลูกบอลจากตำแหน่งใดก็ได้ภายใน เขตประตู
   การเตะลูกโทษนอกเขตโทษ
      1. ฝ่ายตรงข้ามทุกคนต้องอยู่ห่างจากลูกบอลอย่างน้อย 9.15 เมตร (10 หลา) จนกระทั่งลูกบอลเข้าสู่การเล่น
      2. ลูกบอลเข้าสู่การเล่นเมื่อลูกบอลถูกเตะและขยับเคลื่อนแล้ว
      3. การเตะโทษจะตั้งเตะ ณ ตำแหน่งที่เกิดการละเมิดกติกา

กติกาข้อที่ 14 การเตะโทษ ณจุดโทษ(The Penalty Kick)
    ฝ่ายตรงข้ามจะได้เตะโทษ ณ จุดโทษ ถ้าฝ่ายรับละเมิดกติกา 10 ชนิด ที่กำหนดโทษให้เตะลูกโทษโดยตรงภายในเขตโทษของตนและในระหว่างที่ลูกบอลยังอยู่ในการเล่น
    การเตะโทษ ณ จุดเตะโทษนี้ถ้าเตะลูกเข้าประตูได้ให้นับว่าได้ประตู อนุญาตให้เพิ่มเวลาสำหรับการเตะโทษ ณ จุดโทษ ในตอนท้ายของแต่ละครึ่งเวลาหรือตอนท้ายของช่วงที่ต่อเวลาพิเศษตำแหน่งของลูกบอลและผู้เตะลูกบอล
      1. จะต้องวางไว้ ณ จุดเตะโทษผู้เล่นที่เป็นผู้เตะโทษ
      2. ต้องระบุผู้เล่นให้ชัดเจนผู้รักษาประตูที่จะรับลูกโทษ
      3. ผู้รักษาประตูของฝ่ายรับต้องยืนเผชิญหน้ากับผู้เตะ ( เท้าทั้งสองไม่ขยับเคลื่อนจากที่ ) บนเส้นประตูระหว่างเสาประตูของตนจนกว่าผู้เตะได้เตะลูกแล้วผู้เล่นทุกคนนอกจากผู้เตะและผู้รักษาประตูของฝ่ายรับ
      4. ต้องอยู่ภายในสนามแข่งขัน
      5. แต่นอกเขตโทษ
      6. อยู่ด้านหลังของจุดเตะโทษ
      7. ห่างจากจุดโทษอย่างน้อย 9.15 เมตร (10 หลา ) จากจุดเตะโทษ
   ผู้ตัดสิน
   ต้องไม่ให้สัญญาณการเตะโทษจนกว่าผู้เล่นทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งตามที่กำหนดไว้ใน กติกาการแข่งขัน และเป็นผู้
พิจารณาว่าเมื่อไรการเตะโทษจะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
  
   ขั้นตอนการเตะโทษ ณ จุดเตะโทษ
     1. ผู้เตะโทษเตะลูกบอลเคลื่อนไปข้างหน้า
     2. ผู้เตะจะเล่นลูกเป็นครั้งที่สองอีกไม่ได้ จนกว่าจะถูกผู้เล่นคนอื่นเสียก่อน      
     3. ลูกบอลจะเข้าสู่การเล่น เมื่อลูกบอลถูกเตะและขยับเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว
     4. ลูกบอลถูกเสาประตู และ / หรือคานประตู อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง และ / หรือถูกผู้รักษาประตู

กติกาข้อที่ 15 การทุ่ม (The Throw-In)
   การทุ่มลูกเป็นวิธีหนึ่งในการเริ่มเล่นใหม่
   การทุ่มลูกตรงเข้าประตูโดยไม่ถูกผู้ใดก่อน ไม่ถือว่าได้ประตูจะได้ทุ่มลูกเมื่อ เมื่อลูกทั้งลูกได้ผ่านเส้นข้างออกไปนอกสนาม ไม่ว่าลูกจะกลิ้งไป บนพื้นสนามหรือลอยไปใน อากาศก็ตาม ให้ทุ่มลูก ณ ที่ซึ่งลูกนั้น ได้ผ่านเส้นข้าออกไปโดยผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามกับผู้ที่ถูกลูกนั้น เป็นครั้งสุดท้ายเป็นผู้ทุ่ม
   ขั้นตอนการทุ่ม
   ขณะปล่อยลูกบอลออกไป ผู้ทุ่มต้องปฏิบัติดังนี้
      1. หันหน้าเข้าสู่สนาม
      2. มีส่วนของเท้าแต่ละข้างอยู่บนเส้นสนามหรือบนพื้นสนามนอกเส้นข้าง
      3. ใช้มือทั้งสองข้างในการทุ่ม
      4. ปล่อยลูกบอลออกจากด้านหลังศีรษะและข้ามศีรษะ เท่านั้นผู้ทุ่มต้องไม่ถูกลูกบอลอีกจนกว่าลูกบอลจะถูกผู้เล่นอื่นก่อนลูกบอลอยู่ในการเล่นทันทีที่ลูกบอลเข้าสู่สนามแข่งขัน
กติกาข้อที่ 16 การเตะจากประตู(The Goal Kick)
   การเตะจากประตูเป็นวิธีหนึ่งในการเริ่มเล่นใหม่
   การเตะจากประตูตรงเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ถูกเล่นใดก่อน ถือว่าได้ประตู
   การเตะลูกจากประตูเกิดขึ้นเมื่อ
   ลูกบอลที่ถูกผู้เล่นฝ่ายรุกเป็นครั้งสุดท้ายทั้งลูกออกพ้นเส้นประตู หรือเส้นหลัง ไม่ว่าจะ โดนกลิ้งไปบนพื้นสนามหรือลอยไปในอากาศก็ตามและไม่ได้ประตูตามกติกาข้อที่ 10
   ขั้นตอนการเตะจากประตู
       1. ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งของฝ่ายรับตั้งลูกเตะจากจุดใดก็ได้ภายในเขตประตู
       2. ฝ่ายตรงข้ามต้องอยู่นอกเขตประตู จนกว่าลูกบอลจะเข้าสู่การเล่น
       3. ผู้เตะต้องไม่เล่นลูกบอลเป็นครั้งที่สอง จนกว่าลูกบอลจะถูกผู้เล่นอื่นก่อน
       4. ลูกบอลจะอยู่ในการเล่นเมื่อลูกบอลถูกเตะออกพ้นเขตโทษ

   การละเมิด / บทลงโทษ
   ถ้าลูกบอลไม่ได้เข้าสู่การเล่นโดยเตะจนพ้นเขตโทษ   ให้เตะจากประตูใหม่
กติกาข้อที่ 17 การเตะลูกจากมุม(The Corner Kick)

   เมื่อลูกทั้งลูกได้ผ่านเส้นประตูออกไปนอกสนาม นอกจากจะผ่านไปในระหว่างเสาประตูไม่ว่าจะกลิ้งไปบนพื้นสนามหรือลอยไปในอากาศก็ตาม โดยฝ่ายรับเป็นผู้ถูกลูกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ให้ฝ่ายรุกนำลูกไปวางเตะภายในเขตมุม ณ ธงมุมใกล้กับที่ลูกได้ออกไปและต้องไม่ทำให้คันธงเคลื่อนที่ ในการเตะจากมุมนี้ ถ้าเตะทีเดียวลูกตรงเข้าประตูให้นับว่าได้ประตู ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามกับผู้เตะจากมุมนั้นจะเข้ามาอยู่ใกล้ลูกในขณะที่ผู้เตะกำลังจะเตะลูกน้อยกว่า 10 หลา ไม่ได้เว้นเสียแต่ผู้เตะจะได้เตะให้ลูกไปได้ไกลอย่างน้อยเท่ากับระยะรอบวงของลูกจึงจะเล่นต่อไปได้ จะเล่นลูกนั้นซ้ำอีกไม่ได้จนกว่าลูกนั้นจะได้ถูกหรือเล่นโดยผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเสียก่อน

   ขั้นตอนการเตะมุม
      1.  วางลูกบอลไว้ในเขตมุมของมุมเสาธงที่ใกล้กับจุดลูกบอลออกที่สุด
      2.  ต้องไม่ย้ายเสาธงที่อยู่มุมนั้นออก
      3.  ฝ่ายตรงข้ามต้องอยู่ห่างจากลูกบอลไม่น้อยกว่า 9.15 เมตร (10 หลา ) จนกว่าลูกจะเข้าสู่การเล่น
      4.  ลูกบอลถูกเตะโดยผู้เล่นคนใดคนหนึ่งของฝ่ายรุก
      5. ลูกบอลเข้าสู่การเล่นเมื่อถูกเตะและขยับเคลื่อนแล้ว
      6. ผู้เตะต้องไม่เล่นลูกบอลนั้นเป็นครั้งที่สองจนกว่าลูกบอลจะถูกผู้เล่นอื่น